วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

ตามความฝันไปSafari ที่เคนย่า 1 (เตรียมตัว! ก่อนเดินทางตามความฝัน)


  เตรียมตัวก่อนเดินทางตามความฝัน ไป Safari ที่เคนย่า!

    ความใฝ่ฝันสุดยอดของนักดูสัตว์ป่าอย่างหนึ่งคือการที่อยากจะไปสัมผัสซาฟารีแบบในหนังฝรั่งเก่าๆที่เคยดู สักครั้งในชีวิต.....   ผมก็เป็นเหมือนกันกับเขาด้วยคนหนึ่งที่มีความฝันอยากทำแบบนั้นสักครั้งในชีวิต..เคยประทับใจจากหนังเรื่องOut of Africa .....ดูแล้วมันยิ่งกระตุ้นต่อมอยากไป
    แล้วความฝันของผมก็เป็นจริงเพราะมีครั้งนึงพี่ดวงดาว สุวรรณรังษี บก. นิตยสาร Nature Explorer เปิดทริปให้สมาชิกหนังสือ สามารถไปร่วมทริปได้ โดยรับจำนวนจำกัด...
    ผมอยากไปมากเลยพยายามจะชวนเพื่อนไปด้วยแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครชอบเข้าเส้นแบบผม. ค่าทัวร์แพงเป็นเหตุผลใหญ่พวกเขาคงเลือกไปเที่ยวยุโรปที่สบายๆดีกว่า ผมก็เลยต้องบินเดี่ยวไปกับคนอื่นอีกครั้ง.... สมาชิกทริปนี้มีไปทั้งหมด13ท่านรวมผมด้วย ทำให้เป็นเศษ....   พี่ดวงดาวบอกว่าให้ผมนอนพิเศษคนเดียวห้องเดียวในทุกที่ที่ไปทริปนี้...ผมยังไม่รู้ว่าไอ้พิเศษนอนคนเดียวสำหรับการไปซาฟารีที่เคนย่า นี้มันดีหรือไม่ดีแต่ก็ OK เพราะผมไม่เรื่องมากอยู่แล้ว........ข้อสำคัญผมไม่ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อนอนคนเดียวด้วย :)
    ก่อนการเดินทางเราต้องเตรียมตัวหลายอย่างแต่เนื่องจากไปกับตัวแทนทำให้ง่ายขึ้นเรื่องวีซ่าทำได้ง่าย อาจทำVisa on arrival ก็ได้ และข้อสำคัญต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้เหลืองไปด้วย. ผมไปฉีดที่กองควบคุมโรคและตรวจคนเข้าเมืองที่สาธร ....
วัคซีนไข้เหลือง1เข็มป้องกันได้10ปี.....ไข้เหลืองเป็นโรคที่มากับยุงป่าที่กัดเป็นโรคที่แพร่ระบาดในแถบทวีปแอฟริกา ดังนั้นจึงต้องป้องกันตามกฏระเบียบขององค์การอนามัยโลก
หลังจากนั้นก็เตรียมตัวรอเดินทางครับ.....
จำได้ว่าตอนนั้น Kenya Airline เริ่มเปิดเส้นทางการบินบินตรงสูกรุงไนโรบีประเทศเคนย่าเลยยิ่งสะดวกขึ้นมาก.....
     บอกพวกเรานิดนึงว่าช่วงที่ดีที่สุดของการไปดูสัตว์แบบซาฟารีที่เคนย่าคือช่วง
ที่เขาเรียกว่า The great migration อยู่ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปี เพราะสัตว์ป่าจำนวนมากจะอพยพเข้ามาหากินที่ทุ่งหญ้า มาไซมาร่า กันมากที่สุดและเป็นเขตที่อยู่ในประเทศเคนย่า....สัตว์กินพืชชนิดต่างๆ เช่นWildebeest ,ม้าลาย,สัตว์กลุ่มกวางต่างๆ........จะอพยพมาจากฝั่งประเทศแทนซาเนีย จากทุ่งหญ้าเซเร็งเกติ ข้ามแม่น้ำกรูเมติข้ามพรมแดนเข้ามายังเขตประเทศ      เคนย่า....โดยผ่านแม่น้ำมาร่าอีกครั้งเข้าสู่ทีราบทุ่งหญ้าสะวันนาที่อุดมสมบูรณ์ในเขตอนุรักษ์มาไซมาร่าของเคนย่าทุกๆปีวนเวียนกันไปแบบนี้....เป็นวัฐจักรธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่รายการหนึ่งของโลกทีเดียว
ดังนั้นจะเห็นว่าช่วงเดือนดังกล่าวค่าเดินทางจะแพงกว่าช่วงอื่นและทัวร์จะเต็มเนื่องจากเป็น Hi season ของเขานั่นเอง.......

     สิ่งที่คุณต้องเตรียมไปมีอะไรบ้างเพื่อสนุกกับการซาฟารี10วันในแอฟริกา

การดูสัตว์ในแอฟริกาให้สนุกต้องเตรียมตัวดังนี้ นะครับ
-เสื้อผ้าสีกลมกลืนกับธรรมชาติไม่ฉูดฉาดเกินไป
-เสื้อแจ๊คเก็ตถ้าเป็นคนขี้หนาว เพราะตอนเช้าอากาศเย็นๆ
-อากาศดีที่สุดของปีคือช่วง สิงหา-กันยานี่แหละครับกำลังดี ไม่ร้อน ไม่ฝนตก ไม่หนาวมาก
-รองเท้าที่หุ้มส้นพื้นหนาสวมสบายที่สุดของคุณที่พร้อมลุยกับความทุรกันดารได้
หมายเหตุ: รองเท้าต้องพื้นหนาเพราะคุณอาจเหยียบหนามต้นAcaciaที่ยาวขนาดเกิน1นิ้วเข้าก็เป็นได้ในระหว่างท่องเที่ยวดูสัตว์ ....ผมรอดมาแล้วจากเหตุการณ์แบบนี้
แนะนำรองเท้าบาจารุ่นSafari ครับ ลองไปหาดูที่ร้านบาจาที่ไนโรบี มีขายครับ        ทน ถึก เข้ากับการไปเที่ยวซาฟารี จริงๆ          เป็นของที่ระลึกดีด้วยครับใช้ได้ด้วย  รู้สึกว่าจะทำขายสำหรับซาฟารีโดยเฉพาะ
-รองเท้าแตะ
-แว่นกันแดด
-หมวกกันแดด. สำหรับคุณผู้หญิงครีมกันแดดก็ดีครับ
-กล้องส่องทางไกลคุณภาพดีๆสักตัว
-หากท่านใดที่ชอบถ่ายภาพ เตรียมไปได้เลยชุดใหญ่ที่สุดของคุณ ผมแนะนำ 2 ขนาดเลนส์ที่เหมาะสมคือ300mmและ500-600mm ครับสำหรับถ่ายภาพสัตว์ในทุ่งซาฟารี   กล้องของคุณยิ่งเร็วมากเท่าไรยิงดีเอาที่ถ่ายได้เร็ว8ภาพขึ้นไปแจ๋วเลยครับ                          มี Buffer ยิ่งมากยิ่งดี   แล้วก็ memory card เยอะๆ หรือขน Harddisk แบบ load memory card ได้ ไปด้วยเลยยิ่งดีครับ คุณจะสนุกกับการถ่ายภาพสัตว์ป่าที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจริงๆ
-แบตเตอรี่กล้องสำรอง charger และปลั๊กไฟ adapter ของ แอฟริกา Zone
-ยาประจำตัว หน้ากากอนามัยหลายๆชิ้นสำหรับปิดจมูกกันฝุ่นเวลาเดินทาง
-ถ้าอยากสนุกได้ความรู้ก็ หาLonely planet ประเทศ Kenya. สักเล่มอ่านก่อนไปแล้วพกไปด้วยจะสนุกมากครับ
-หนังสือคู่มือดูสัตว์ป่าแอฟริกาหาดูจากร้าน  Kinokuniya กรุงเทพฯก็ได้ครับ
   
      ผมเดินทางไปกับคณะด้วยความตื่นเต้นระยะเวลาการเดินทางคือบิน9ชั่วโมงแล้วผมก็มาถึงนครหลวงของเคนย่าคือไนโรบีที่สนามบิน "โจโม่เคนยัทต้า" ตอนลงเครื่องตรวจคนเข้าเมืองวีซ่า สบายๆครับไม่เข้มงวดอะไรเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวถามเเค่ว่ามาทำอะไร พอบอกไปว่ามาซาฟารี เจ้าหน้าที่จะยิ้มกว้างเห็นฟันขาวจั๊วเลยครับแล้วบอกว่า"จัมโบ้"ซึ่งเป็นความหมายว่าสวัสดีและยินดีต้อนรับนั่นเอง....
      เราเจอตัวแทนที่มารับคณะของเราพร้อมอยู่แล้วเมื่อแสดงตัวก็พร้อมเอาสัมภาระออกมานอกสนามบินตรงลานกว้างที่บริเวณจอดรถรอนักท่องเที่ยว........ สิ่งที่คุณเห็นแล้วไม่น่าเชื่อเลยคือ รถที่ทำหน้าที่ท่องซาฟารีของตัวแทนทัวร์ต่างๆ ไม่รู้กี่บริษัททัวร์เต็มไปหมดเป็นร้อยคัน.... เพราะส่วนมากทริปทัวร์จะมาถึงFlight เช้า6โมงเป็นส่วนใหญ่
      ผมเช้าใจแล้วว่าประเทศเคนย่านั้นรายได้หลักของประเทศเขามาจากไหนคือการท่องเที่ยวซาฟารีนี่เอง....
พอเราเจอหัวหน้าไกด์ชื่อ "แซมมี่" ซึ่งทำหน้าที่ขับรถพาเราเที่ยวด้วยเขาทักทายเราด้วยคำว่า"จัมโบ้"เช่นเดียวกันแล้วเอาสัมภาระเราขึ้นรถทั้งหมดแยกเป็น2คัน รถที่เราใช้เป็นรถตู้ที่ทำมาพิเศษโดยที่นั้ง หลวมๆไม่เเน่นมากทำให้นั่งสบายไม่อึดอัดผมยังไม่เล่าเรื่องหลังคาแล้วกันนะครับ   เอาไว้เล่าตอนไปดูสัตว์แล้วค่อยบอกว่ามันเป็นอย่างไร?......
      ไกด์พาเราไปทานอาหารเช้าทันทีสุดยอดมาก.....เป็นโปรแกรมที่เขาแคร์นักท่องเที่ยวจริงๆ....อาหารเช้าของเราทานกันที่โรงแรมใจกลางเมืองไนโรบีเลยครับเป็นBreakfastโรงแรมอย่างดีและเปิดโอกาสให้เราทำธุระล้างหน้าแปรงฟันเพื่อความสดชื่นก่อนการเดินทางไกลกัน.....

      เป็นความรู้แบ่งปันแล้วกันนะครับกลุ่มบริษัททัวร์ที่ผมใช้บริการคือKuoni เป็นบริษัทของSwitzerland  อายุบริษักก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1906 ก็ประมาณ100กว่าปีแล้วปัจจุบัน... ในเคนย่าเปิดให้บริษัททัวร์หลายชาติเข้าไปลงทุนทำสัมปทานท่องเที่ยวเพราะปีหนึ่งๆมีนักท่องเที่ยวมาซาฟารี มากมายมหาศาลบริษัททัวร์ส่วนใหญ่เป็นของยุโรป เพราะเน้นลูกค้ากลุ่มยุโรปที่กระเป๋าหนักทั้งนั้นเท่าที่ผมเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มากยังมาจากยุโรปเสียเป็นส่วนใหญ่......
      เมืองไนโรบีเป็นเมืองใหญ่ที่ มีรถราเยอะมาก วิ่งวุ่นไปหมด  ดูเป็นเมืองธุรกิจหลักของเขาเลย  เมืองของเขามีเขตติดกับทุ่งหญ้าสะวันนาที่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เลยครับ
แล้วผมจะมาเล่าต่อนะครับ.......

สูตรอาหารเพื่อลดความอ้วนเร่งด่วน 1 สัปดาห์


ความอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งที่นำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคอื่นๆ อีกหลายโรค ซึ่งสาเหตุหลักๆ ของความอ้วนนั้นมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ได้สัดส่วน และไม่ถูกสุขลักษณะ วันนี้มีเมนูอาหารสำหรับการลดความอ้วนมาฝากกันนะคะ รับรองได้ว่าถ้าท่านทำตามสูตรนี้จะทำให้น้ำหนักของท่านลดลงอย่างน้อย 3 กิโลกรัมต่อสัปดาห์นะคะ
วันที่ 1-วันที่ 3
เช้า     รับประทานน้ำเปล่าผสมมะนาว 1 แก้วทันทีหลังจากตื่นนอน   หลังจากนั้นทั้งวันรับประทานน้ำผักหรือน้ำผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งวัน
วันที่ 4 - วันที่ 5
เช้า   รับประทานน้ำเปล่าผสมมะนาว 1 แก้วทันทีหลังจากตื่นนอน  ตอนสายรับประทานน้ำผลไม้ 1 แก้ว
กลางวัน  รับประทานสลัดผักหรือผลไม้  1 จานเล็ก
เย็น  รับประทานฝรั่งหรือแอบเปิ้ลเขียว 1 ผล
วันที่  6-วันที่ 7
เช้า    รับประทานน้ำเปล่าผสมมะนาว 1 แก้วทันทีหลังจากตื่นนอน  ตอนสายรับประทานน้ำผลไม้ 1 แก้ว
กลางวัน   รับประทานสลัดผักหรือผลไม้  1 จานเล็ก
เย็น  รับประทานฝรั่งหรือแอบเปิ้ลเขียว 1 ผล
ลองนำสูตรนี้ไปทำดูนะคะได้ผลแน่นอนคะ แต่มีข้อควรระวังนิดหนึ่งว่าไม่ควรออกกำลังกาย หรือไปอบซาวน่า หรือกีฬาที่ทำให้เสียเหงื่อมากๆ เพราะจะทำให้เป็นลมได้ 

ศึกษาไทยงามหน้าทุจริตครูผู้ช่วย - สิ้นท่านโยบายขายฝัน “แท็บเล็ต’ 56”


กำลังจะพ้นผ่านปีเก่า 2556 ไปพร้อมกับการทอดถอนใจถึงความไม่ก้าวหน้าของกระทรวง “คุณครู” ด้วยตลอด 1 ปีมานี้ นอกจากจะได้รับผลกระทบของการบริหารทางการเมือง ที่ปรับเปลี่ยนตัวเจ้ากระทรวงมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระลอกแต่ช่วงปลายปี 2555 มาสู่ช่วงกลางปี 2556 ที่เปลี่ยนตัวจาก นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช มาเป็น นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา และล่าสุด คือ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แต่ละคนทำงานได้เฉลี่ยคนละ 5-6 เดือน โดยเฉพาะ รมว.ศึกษาธิการ คนล่าสุดเคยนั่งเก้าอี้ดังกล่าวมาแล้ว ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งด้วยพิษการเมือง ซึ่งมีการประกาศยุบสภาในปี 2549 แล้วก็เข้าสู่บ้านเลขที่ 111 เว้นวรรคการเมืองไป 5 ปี กลับออกมาหนนี้แม้จะได้หน้าได้ตามีที่ลงหลักอำนาจ แต่อยู่ได้ไม่นานก็โดนพายุเดิมซัดอีกเป็นหนที่สอง!!
       
       แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารจะเป็นคนจากพรรคเดียวกัน แต่ทว่า...แต่ละคนก็มักจะมอบนโยบายใหม่ หรือแม้จะสานต่อนโยบายเดิมๆ ภายใต้นโยบายรัฐบาลแต่ก็ปรับรูปแบบในสไตล์ของตน ส่งผลให้งานประจำก็ไม่ก้าวหน้า งานนโยบาย อย่างปฏิรูปการศึกษารอบ 2 การพัฒนาครู พัฒนาคุณผู้เรียน หรือกระทั่งนโยบายขับเคลื่อนเตรียมพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ก็ไม่เด่น กลายเป็นว่าเรื่องช่วงปี 2556 ที่ผ่านมามีแต่ข่าวฉาวที่สร้างชื่อเสีย...
       
       ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดหนีไม่พ้นกรณี “การทุจริตการสอบครูผู้ช่วย ว12 กรณีพิเศษหรือเหตุจำเป็น” ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หากใครที่ติดตามมาแต่ต้นจะพบว่าข่าวชิ้นนี้เป็นมหากาพย์การทุจริตครูที่ถูกนำเสนอบนหน้าหนังสือพิมพ์และข่าวเด่นบนจอโทรทัศน์ ยาวนานและต่อเนื่องอยู่หลายเดือน และยังคงมีการนำเสนออยู่เป็นระยะในช่วงค่อนปีหลัง เริ่มแต่มีการเปิดข่าวพบพิรุธและสงสัยว่าจะมีการกระทำทุจริตเป็นขบวนการ สุดท้ายต้องยืมมือกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ไล่ขุดหาต้นตอและวิธีการในการโกงออกมาแฉ! นำมาสู่การล้มกระดานจัดสอบและควานหาตัวคนผิด ซึ่งพบพิรุธตั้งแต่กระบวนการจัดส่งข้อสอบ รูปแบบการโกง มีการนำผู้เชี่ยวชาญทางการวัดและประเมินผลมาช่วยวิเคราะห์ จนพบว่ามีกลุ่มที่น่าสงสัยว่าทุจริตสอบเพราะได้คะแนนสูงผิดปกติ 344 ราย ซึ่งจำนวนนี้บางรายได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยแล้วก็ต้องให้ผู้อำนวยการโรงเรียนให้ออกจากราชการ แต่ก็ยังไม่วายเกิดปัญหาตามมาเหตุบางรายอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมถูกให้ออกโดยไม่มีการสอบสวน ล่าสุดคือ นายจาตุรนต์ ในฐานประธานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ให้มีการชะลอโดยขอให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ไปทำความเข้าใจกับผู้บริหารโรงเรียนและวนไปเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตุว่าการดำเนินการลักษณะนี้อาจจะต้องการซื้อเวลาให้เรื่องยืดยาวจนคนลืมหรือไม่
       
       ขณะที่ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตั้งแต่ระดับผู้บริหารไปจนถึงระดับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นำมาสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะ นายชินภัทร ภูมิรัตน อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่เวลานี้เกษียณอายุราชการแล้วโดน 2 เด้ง คดีแรกโดนคนเดียวฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของราชการอันเป็นเหตุให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรง มีการสอบปากคำพยานเรียบร้อยและคาดว่าจะสรุปผลในเดือนธ.ค.2556นี้ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ปรากฎ ขณะที่คดีที่ 2 นายชินภัทร ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงร่วมกับข้าราชการอีก 7 ราย ฐานกระทำผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ ซึ่งคดีนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนและคาดว่าจะสรุปผลได้ในเดือน ม.ค.2557 เพราะฉะนั้น เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นข้อสรุปในฐานความผิดทั้งที่ดำเนินการโดยส่วนราชการ หรือกระทั่งในทางคดีอาญาโดยดีเอสไอ เกี่ยวกับปมการทุจริตการสอบครูผู้ช่วยจึงยังไร้ข้อสรุปที่ชัดเจน!
       
       อีกเรื่องสำคัญที่สะท้อนความล้มเหลวในการบริหารงานการศึกษา ผลาญงบประมาณแผ่นดินมูลค่ามหาศาลแต่ใช้อย่างไม่คุ้มค่า นั่นคือ โครงการ 1 คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน ประจำปี 2556 นโยบายขายฝันเพื่อเรียกคะแนนประชานิยมต่อเนื่องในปีที่ 2 ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่ปีแรกของโครงการแจกระดับ ป.1 มาแล้วกว่า 8 แสนเครื่องในปีการศึกษา 2555 มาในปีการศึกษา 2556 ได้เพิ่มเป้าหมายแจก ป.1 และ ม.1 รวมจำนวนกว่า 1.6 ล้านเครื่อง วงเงิน 4,611 ล้านบาท โดยหากการดำเนินการโครงการดังกล่าวเป็นไปตามระบบและไม่เกิดปัญหาติดขัด แน่นอนว่าเวลานี้นักเรียน ป.1 และ ม.1 ทุกคนจะมีแท็บเล็ตใช้เรียนมาแล้วในภาคเรียนที่ 1/2556 ที่ผ่านมา แต่ความจริงที่สุด ณ เวลานี้ล่วงเลยเวลาสู่ภาคเรียนที่ 2 ในปีการศึกษาเดียวกัน กลับไม่ปรากฏเครื่องแท็บเล็ตให้เด็กใช้เรียน!
       
       คาดว่าปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากขาดความต่อเนื่องของการบริหารงานระดับนโยบาย ที่มีการเปลี่ยนแปลงหนำซ้ำการวางแผนก็เป็นไปอย่างล่าช้า และอาจจะเป็นความผิดพลาดที่สุด ที่ปีที่ 2 นี้ให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดย สพฐ.เป็นตัวแทนของหน่วยงานที่มาสถานศึกษาในสังกัดรวม 8 หน่วยงานมาเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อแท็บเล็ตในครั้งนี้เอง โดยเฉพาะหากพิจารณาย้อนไปกระบวนการต่างๆ เตรียมพร้อมเริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.2555 ซึ่งเริ่มต้นปีงบประมาณ 2556 เมื่อครั้งนายสุชาติ ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการ ศธ.ได้เริ่มเตรียมการสำหรับจัดซื้อแท็บเล็ต ป.1, ม.1 และครู ของปีการศึกษา 2556 ทั้งกำหนดสเปกของเครื่องและวิธีการจัดซื้อที่เปลี่ยนรูปแบบการจัดซื้อด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-ออกชัน ภายในประเทศออกเป็น 4 โซน
       
       แต่กระบวนการต่างๆ ทั้งการยื่นทีโออาร์ เปิดประมูล ทดสอบคุณสมบัติการตกกระแทกของเครื่องแท็บเล็ตที่แต่ละบริษัทที่ยื่นใน 4 โซนมามาเริ่มทำภายหลังที่เปลี่ยน รมว.ศึกษาธิการ มาเป็น นายพงศ์เทพ ในครั้งแรกของการอี-ออกชัน สรุปการประมูลผ่านการเพียง 3 โซน คือ โซน 1 (ภาคกลางและภาคใต้) ป.1 จำนวน 431,105 เครื่อง และ โซน 2 (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ระดับ ป.1 จำนวน 373,637 เครื่อง บริษัท เซิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัดชนะการประมูลทั้ง 2 โซน และโซน 3 (ภาคกลางและภาคใต้) ม.1 จำนวน 426,683 เครื่อง บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ชนะการประมูล ยกเว้นในโซนที่ 4 (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ม.1 และครู จำนวน 402,889 เครื่องที่มีปัญหามีผู้แข่งขันน้อยจึงได้มีการเปิดประมูลอี-ออกชันใหม่ ภายหลังจนกระทั่งได้ บริษัท จัสมิน เทเลคอมซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการประมูล เตรียมก้าวไปสู่ขั้นตอนการทำสัญญา แต่ก็ต้องสะดุดเพราะข้อทักท้วงจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ให้ข้อสังเกตุว่าผลการอี-ออกชันการประมูลของโซน 3 ราคาที่ประมูลได้สูงกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อเทียบกับการประมูลในโซน 1, 2 และ 4 ขอให้มีการทบทวนและนำมาสู่การตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดย สพฐ.และมีมติเสนอบอร์ดบริหารแท็บเล็ต ในสมัย นายพงศ์เทพ เป็นประธานมีมติให้ยกเลิกการประมูลอี-ออกชัน โซน 3
       
       จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลง รมว.ศึกษาธิการ ครั้งที่ 2 ของปีมาเป็น นายจาตุรนต์ ซึ่งได้เข้ามารับช่วงการบริหารงานต่อก็ยังคงยืนยันตามมติเดิมโดยให้ สพฐ.ประกาศยกเลิกประมูล ขณะที่ บ.สุพรีมฯ ผู้ชนะประมูลในโซน 3 ได้ยื่นอุทธรณ์คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) ของกรมบัญชีกลาง อย่างไรก็ตาม ราวเดือน ต.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมา กวพ.อ.มีความเห็นว่าไม่สามารถชี้ขาดได้เพราะเป็นการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงาน ไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุว่าด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549
       
       อย่างไรก็ตาม สุดท้ายบอร์ดบริหารฯ ยังคงยึดมติเดิมยืนยันยกเลิกโซน 3 โดยอ้างคำวินิจฉัยจากคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ามีอำนาจในการยกเลิกได้ อีกหากดึงดันเดินหน้าไม่ทำอะไรก็ติดข้อทักท้วง สตง.ถอยหลังก็ติดปัญหาความเห็นจาก กวพ.อ.จึงสั่งให้ สพฐ.ส่งข้อมูลชี้แจงเหตุผลยกเลิกโซน 3 ไปยัง กวพ.อ.อีกครั้ง หวังให้ฟันธงชัดว่าควรยกเลิกตามมติบอร์ด หรือไม่ยกเลิกและให้จัดซื้อกับ บ.สุพรีมฯ ต่อ รวมถึงถาม สตง.ด้วยว่ามีปัญหาในเรื่องใดที่พบอีกเพื่อจะได้เร่งแก้ไขให้เสร็จสิ้น ซึ่งจวบจนสิ้นปีก็ยังไร้วี่แววจะได้รับคำตอบใดกลับมา
       
       เช่นเดียวกัน แท็บเล็ตโซน 1, 2 และ 4 ที่ทำสัญญาจัดซื้อกับบริษัทที่ชนะการประมูลไปแล้วตั้งแต่ 28 ก.ย.2556 ที่ผ่านมาซึ่งตามเงื่อนไขจะต้องส่งแท็บเล็ตงวดแรกภายใน 35 วันนับจากวันทำสัญญา โดยกำหนดจัดส่งทั้งสิ้น 5 งวดๆ สุดท้ายให้ส่งได้ไม่เกิน 90 วันนับจากวันทำสัญญาเช่นกัน หากเกินกำหนดบริษัทจะต้องเสียค่าปรับวันละ 0.2 ของราคาประมูล แต่ก็เช่นเดิมจนถึงขณะนี้ยังไม่มีบริษัทใดจัดส่งแท็บเล็ต ขณะที่ สพฐ.ก็ปิดปากเงียบไม่ออกมาชี้แจงหรือบอกความคืบหน้าแต่อย่างใด
       
       ขณะที่ปัญหาเก่ายังคาราคาซัง แต่เวลานี้ ศธ.ก็เริ่มเตรียมการสรุปผลการดำเนินการโครงการดังกล่าวทั้ง 2 ปีที่ผ่านมาถึงข้อดี-ข้อเสีย เพื่อหวังนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นในการจัดซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียนในปีการศึกษา 2557 แน่นอนว่ายังไม่มีรายงานสรุปปรากฏออกมาเช่นเคย แต่ช่วงเวลาหนึ่งได้การเสนอแนวคิดแจกคูปองเงินสดให้ผู้ปกครองนำไปซื้อแท็บเล็ตภายใต้สเปกที่กำหนดให้บุตรตนเอง หากอยากได้ดีกว่าที่กำหนดก็ต้องเพิ่มเงินส่วนต่างเอง โดยเชื่อว่าจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยเอื้อประโยชน์ต่อราชการ แน่นอนว่ากลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวาง และน่าจะเป็นแนวคิดที่ทำได้ยาก ส่วนข้อเสนอที่กำลังจะหยิบมาเสนอต่อบอร์ดบริหารแท็บเล็ตในศักราชใหม่เพื่อดำเนินการในปีที่ 3 มี 4 รูปแบบ ภายใต้เงื่อนไขว่าสเปกแท็บเล็ตต้องกำหนดร่วมกันด้วยคือ 1.ให้แต่ละหน่วยงานไปซื้อเอง 2.ให้แต่ละหน่วยงานไปซื้อเองแต่อาจรวมกันซื้อได้ เช่น กรมการศาสนาซื้อรวมกับ ร.ร.ตำรวจตระเวนชายแดน เป็นต้น 3.ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเททศและการสื่อสาร หรือ ไอซีทีไปจัดซื้อเหมือนในปีแรก (ปีการศึกษา 2555) และ 4. สพฐ.รับเป็นเจ้าภาพทั้งหมด
       
       อย่างไรก็ตาม สพฐ.เห็นรูปแบบที่ 1 และ 2 น่าสนใจเพราะมีข้อดีคือจัดซื้อได้เร็วในบางหน่วยงานและสามารถซ่อมบำรุงในรายย่อยๆ ได้ง่ายกว่าและไม่ติดขัด ซึ่งมองคร่าว ๆ น่าจะดีเพราะดูตัวอย่างที่เห็นในเวลานี้ หาก สพฐ.อยากจะเลือกรูปแบบสุดท้าย ก็หวั่นใจและคาดว่าอาจจะเข้าอีหรอบเดิม
       
       ลาขาดปีนี้แล้ว ไม่ว่าจะเลือกซื้อรูปแบบใดก็เป็นเรื่องในปีหน้า ที่แน่ๆ ปีนี้เกือบจะเข้าสู่ครึ่งเทอมของภาคเรียนที่ 2/2556 เด็กนักเรียนก็ยังไม่มีแท็บเล็ตมาเรียนตามที่ประกาศไว้ และอาจจะไม่มีใช้เรียน...จนจบปีการศึกษา!
       

ขอบคุณ  :  http://www.manager.co.th

10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014


สืบเนื่องจากยังคงอยู่ในช่วงของเทศกาลปีใหม่ 2557 ไปหมาด ๆ   และเป็นช่วงระยะเวลาของการพักผ่อนท่องเที่ยวของคนไทย  ฉะนั้นเพื่อให้ทุกท่านเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์  จึงขอนำข้อมูลการท่องเทียวของ โลน ลี่ แพลนเน็ต (Lonely Planet) ซึ่งได้เผยรายชื่อ 10 เมือง ดีที่สุดสำหรับการท่องเที่ยว ประจำปี 2014   ที่มีการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว… 10 เมืองที่นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางไปเยือนมากที่สุดในปี 2014

1. กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
โลนลี่ แพลนเน็ต” ระบุว่า ปัจจุบันเมืองสวยที่สุดในโลกอย่าง กรุงปารีส ได้ถูกแปลงโฉมใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น หลังทางการเดินหน้าลดความแออัดของรถยนต์ ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้บริการระบบขนส่งมวลชน และรถจักรยาน ทั้งยังเปลี่ยนถนนเลียบแม่น้ำแซนฝั่งขวาระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ให้เป็นทางเดิน และเลนรถจักรยาน ส่วนถนนเลียบแม่น้ำฝั่งซ้าย นับตั้งแต่สะพานอัลม่าไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ออร์แซ (ระยะทาง 2.5  กิโลเมตร) ถูกกำหนดให้เป็นเขตปลอดรถยนต์ พร้อมทั้งเปลี่ยนถนนให้กลายเป็นทางเดิน และพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นสวนลอยน้ำ สนามกีฬา มุมพักผ่อนหย่อนใจ ฯลฯ
นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ยังเปิดแกลลอรี่ศิลปะอิสลามใหม่ ซึ่งอยู่ภายใต้หลังคารูปพรมวิเศษสีทอง แถมระฆังที่มหาวิหารนอตเตอร์ดัมยังกลับมาดังอีกครั้ง ด้วยท่วงทำนองเดิมๆ เหมือนที่เคยดังก่อนปี 1789  (พ.ศ. 2332) หลังได้รับการติดตั้งระฆังใหม่ 9 ลูก เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ที่สำคัญพิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ่ จะเปิดให้บริการใหม่อีกครั้ง ในปีหน้าหลังปิดปรับปรุงมานานหลายปี

2. เมืองตรินิแดด จังหวัดซังตีสปีรีตุส  ประเทศคิวบา
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
เมืองเล็กๆ ที่ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกแห่งนี้ กำลังจะครบรอบ 500 ปี ของการก่อตั้งเมืองในปีหน้า ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีงานเฉลิมฉลอง และกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมให้เที่ยวชมภายใต้บรรยากาศแบบย้อนยุค เพราะแม้จะก่อตั้งมานานเกือบ 5 ศตวรรษ แต่วิถีชีวิตและสภาพบ้านเมืองของตรินิแดด ยังคงมนต์เสน่ห์ในแบบเดิมๆ ราวกับหยุดเวลาเอาไว้ ส่วนอาคารเก่าแก่ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น และตกแต่งอย่างหรูหราด้วย เพดานสไตล์มูเดจาร์,กระเบื้องเคลือบจากประเทศฝรั่งเศส และพื้นหินอ่อนจากอิตาลี ล้วนเป็นผลมาจากความมั่งคั่งในยุคที่อุตสาหกรรมน้ำตาลกำลังเฟื่องฟู (สมัยศตวรรษที่ 19) ทั้งสิ้น

3. เมืองเคปทาวน์ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
ที่ผ่านมา เคปทาวน์ มักกวาดรางวัลด้านความสวยงามทางธรรมชาติ แต่ล่าสุด เมืองเคปทาวน์ได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งการออกแบบของโลก ประจำปี 2014 เมืองนี้มีพื้นที่สีเขียวที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม แถมโครงการต่างๆ ยังถูกพัฒนาให้เป็นแบบยั่งยืน ที่น่าทึ่งก็คือ การฟื้นฟูย่านอุตสาหกรรมเก่าสุดเสื่อมโทรมอย่าง ‘วู้ดสต็อก’ ให้เป็นย่านธุรกิจสุดอินเทรนด์ และที่น่าจับตา ก็ตือ การพัฒนาย่านอีสต์ซิตี้ให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมของ เมืองเคปทาวน์ ภายใต้ชื่อใหม่ ’เดอะ ฟรินจ์’ นอกจากนี้ เคปทาวน์ยังมีร้านค้า ร้านอาหารให้เลือกช้อป และชิมมากมาย แต่ถ้าอยากนั่งรถเที่ยวรอบเมือง ที่นี่ก็มีรถเมล์แดง 2 ชั้น สุดเก๋ไว้คอยบริการ โดยรถจะวิ่งวนรอบเมืองทุกๆ 15 นาที  (มี 18 ป้ายรถเมล์) ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถซื้อเลือกตั๋วได้ทั้งแบบ 1 วันหรือ 2 วัน

4. เมืองริกา ประเทศลัตเวีย
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
ริกา เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในกลุ่มรัฐบอลติก ทั้งยังเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรม การศึกษา การเมืองการปกครอง ธุรกรรม พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ ที่สำคัญ ย่านเมืองเก่าหรือศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมืองริกา ซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ยังเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่ ทั้งที่เป็นอาคารไม้สไตล์นีโอคลาสสิกและอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว นอกจากนี้  ริกายังได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป ประจำปี 2014 อีกด้วย

5.เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
สวิตเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนในฝันที่หลายคนอยากไปเยือน (หรืออยากกลับไปอีก) เนื่องจากเป็นประเทศที่มีทัศนียภาพงดงามและอากาศดี ติดตรงที่ค่าใช้จ่ายสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เมืองซูริค… ในเดือนสิงหาคมปีหน้า ซูริคจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์ยุโรป ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีนักกรีฑา ตลอดจนเหล่าบรรดากองเชียร์เดินทางมาเยือนเมืองนี้มากมาย และสถานที่สุดอินเทรนด์ที่นักท่องราตรีห้ามพลาด ก็คือย่านซูริค-เวสต์ ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมเก่า ที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยคลับ บาร์ ร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ หลังทางการปลดล็อคเวลาปิดของสถานบันเทิงในย่านนี้ ซูริคก็กลายเป็นอีกหนึ่งเมืองสวรรค์ของนักท่องราตรี และเป็นเมืองปาร์ตี้ของยุโรป

6. เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
โลนลี่ แพลนเน็ต” กล่าวว่า หากเปรียบประเทศจีนเป็นมอเตอร์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลก เซี่ยงไฮ้ ก็คือ เครื่องยนต์ V8 อันทรงพลังของจีน ทั้งนี้เพราะเซี่ยงไฮ้ซึ่งเคยมีโครงข่ายระบบรถไฟความเร็วสูงเพียง 3 สายในปี 2000 กำลังจะเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงสายที่ 16 ระยะทาง 59 กิโลเมตรในปีหน้า (ระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงใน เมืองเซี่ยงไฮ้ ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเติบโตเร็วที่สุดในโลก ทั้งยังมีระยะทางยาวเป็นอันดับ 3 ของโลก) นอกจากนี้ (ว่าที่) ตึกสูงที่สุดในประเทศจีน และสูงเป็นอันดับสองของโลก ’เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์’ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในย่านหลูเจียซุย ด้วยความสูง 121 ชั้น ก็กำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปีหน้า และจะเป็นที่ตั้งของโรงแรมสูงที่สุดในโลกแห่งใหม่ ที่สำคัญ ทางการเซี่ยงไฮ้ยังเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติจาก 45 ประเทศ (ซึ่งไม่มีพี่ไทยอยู่ในโผ) เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองของตนได้นาน 72 ชั่วโมง โดยไม่ต้องมีวีซ่า

7. เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
แวนคูเวอร์ เป็นเมืองท่าสำคัญ และยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐบริติชโคลัมเบีย เห็นเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น และเต็มไปด้วยอาคารสูงอย่างนี้ แต่ที่นี่ก็รายล้อมด้วยธรรมชาติอันงดงามไม่ว่าจะเป็น ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ สวนสาธารณะอันเขียวชอุ่ม และหาดทรายมากมายหลายแห่ง จึงนับว่าเป็นสวรรค์ของผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง และกีฬาทางน้ำอย่างแท้จริง

8. เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
ชิคาโก เป็นเมืองแห่งสถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้า ทั้งยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ระดับเวิลด์คลาส แต่ที่ห้ามพลาด ก็คือ การเข้าไปเชียร์กีฬาเบสบอลที่สนามริกลีย์ ฟิลด์ ซึ่งจะครบรอบ 100 ปีในปีหน้า และจะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองตลอดฤดูกาลแข่งขัน ส่วนคนที่ไม่ใช่คอกีฬา ขอแนะนำให้ไปดูการแสดงตลกที่คลับ และโรงละคร “เดอะ เซคเคินด์ ซิตี้” ซึ่งจะครบรอบ 55 ปีในปีหน้าเช่นกัน
สำหรับ คนที่ชื่นชอบดนตรีขอแนะนำให้ไปเยือน ชิคาโก ในช่วงซัมเมอร์ เพราะในเดือนมิถุนายนของทุกปี จะมีการจัดเทศกาลดนตรี “ชิคาโด บลูส์ เฟสติวัล” ให้คนรักเสียงเพลงดื่มด่ำกับเพลงโซล บลูส์ และแจ๊สแบบ 3 วันเต็มๆ แต่ถ้าชอบดนตรีแบบหนักๆ อย่างอัลเทอร์เนทีฟ ร็อค, เฮฟวี่ เมทัล, พังค์ร็อค, ฮิพฮอพ หรือเพลงมันส์ๆ ประเภทแดนซ์กระจายก็ต้องไปชมเทศกาลดนตรี  ”ลัลลาปาลูซ่า” และ “พิทช์ฟอร์ค” ซึ่งจะจัดขึ้น 3 วันในช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลดนตรีน้องใหม่อย่าง “เวฟฟร้อนซ์ มิวสิค เฟสติวัล” ที่จัดขึ้นริมชายหาดแบบ 3 วันเต็มในเดือนกรกฎาคม เพื่อเอาใจขาแดนซ์โดยเฉพาะ ตลอดจนเทศกาลดนตรี “ไรออท เฟส” ซึ่งเน้นดนตรีแนวพังค์ ร็อค อัลเทอร์เนทีฟ ฮาร์ดคอร์ ฯลฯ ให้สาวกเพลงร็อคเมามันส์กันอย่างสุดเหวี่ยงตลอด 3 วันเต็มในเดือนกันยายน

9. เมืองแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
เชื่อว่าหลายคนอาจไม่คุ้นหูนักเมื่อได้ยินชื่อเมือง แอดิเลด เพราะเมื่อพูดถึงออสเตรเลียคนส่วนใหญ่ มักนึกถึงเมืองที่ใหญ่ และมีชื่อเสียงมากกว่าอย่าง เมลเบิร์น และซิดนีย์ ทั้งๆ ที่เมืองนี้ได้รับยกย่องว่า เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในออสเตรเลีย ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน และยังเคยติด 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก ประจำปี 2010 ตามโผของ ‘ดิ อีโคโนมิสต์’ อีกด้วย
แอดิเลด เป็นเมืองหลวง และเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ทั้งยังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของออสเตรเลียอีกด้วย นอกจากนี้ แอดิเลดยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสำคัญๆ ทางด้านกีฬาและศิลปะ อาทิ แอดิเลด เฟสติวัล ซึ่งเป็นเทศกาลด้านศิลปะระดับโลก ที่รวบรวมศิลปะหลายแขนงมาจัดแสดงในงาน เดียว, แอดิเลด ฟรินจ์ เฟสติวัล ซึ่งเป็นเทศกาลศิลปะประจำปี ที่จัดขึ้นติดต่อกัน 24 วัน 24 คืน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ตลอดจนงาน WOMADelaide (World of Music, Arts & Dance) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 7-10 มีนาคมในปีหน้า ที่สำคัญ สนามกีฬาขนาดใหญ่ ‘แอดิเลด โอวัล’ ที่ปิดปรับปรุงด้วยงบประมาณจำนวนมหาศาล จะได้ฤกษ์เปิดใช้บริการอีกครั้งในปีหน้า ในฐานะสนามประจำทีมฟุตบอลแอดิเลด และพอร์ต แอดิเลด

10. เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์
           10 เมือง น่าเที่ยวที่สุดในโลก ประจำปี 2014
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักมุ่งหน้าไปยังเกาะใต้ เพื่อชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของเทือกเขา ทะเลสาบ ท่องเที่ยวแนวผจญภัย เล่นบันจี้จัมพ์ และประกอบกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งๆ ที่ โอ๊คแลนด์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ และมีความเป็นสากลมากที่สุดของนิวซีแลนด์ ก็มีความโดดเด่นและน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอาหาร ศิลปะ และการออกกินลมชมวิวตามแนวชายฝั่ง ที่ผ่านมา โอ๊คแลนด์มีแหล่งรับประทานอาหารแห่งใหม่ๆ ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่กำลังฮอตฮิตสุดอินเทรนด์ ก็คือ ศูนย์รวมร้านอาหารสุดฮิพอย่าง ‘ซิตี้ เวิร์คส ดีโป้’  ส่วนผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะไม่ควรพลาดการไปเยือน ‘โอ๊คแลนด์ อาร์ต แกลเลอรี่’ ซึ่งนอกจากภายในจะมีผลงานศิลปะมากมาย ให้ชื่นชมแล้ว ตัวอาคารก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นอาคารเก่าแก่ที่ถูกตกแต่ง ต่อเติม และแปลงโฉมใหม่ จนได้รับเลือกให้เป็น เวิลด์ บิลดิ้ง ออฟ เดอะ เยียร์’ ประจำปี 2013 ในหมวดอาคารด้านวัฒนธรรม


ขอบคุณ :  http://travel.mthai.com
ข้อมูลและภาพ : lonely planet / paow007.wordpress.com

ทิศทาง..ข้าวหอมมะลิไทย


ได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันพฤหัสบดีที่ 2  มกราคม  2557  ที่นำเสนอบทความโดยทีมข่าวเกษตร  เรื่อง วันเวลาที่ผันผ่าน “ข้าวมะลิไทย..ไฉนอ่อนหอม”  ทำให้ผมเองเกิดความรู้สึกลึก ๆ จากภายในด้วยความห่วงใยข้าวหอมมะลิของไทยในภาพรวม  และตัดสินใจที่จะสืบค้นรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้าวหอมมะลิไทย  แล้วนำเสนอแก่ผู้อ่านเพื่อให้มีความรู้ และต้องการปลุกกระแสนิยมไทยร่วมกัน..ครับ

ที่มาข้าวหอมมะลิไทย
ข้าวหอมมะลิ (Thai jasmine rice) (Official name "Thai Hom Mali") เป็นสายพันธุ์ข้าวที่มีถิ่นกำเนิดในไทย มีลักษณะกลิ่นหอมคล้ายใบเตย เป็นพันธุ์ข้าวที่ปลูกที่ไหนในโลกไม่ได้คุณภาพดีเท่ากับปลูกในไทยและเป็นพันธุ์ข้าวที่ทำให้ข้าวไทยเป็นสินค้าส่งออกที่รู้จักไปทั่วโลก
เมื่อปี พ.ศ. 2497  นายสุนทร  สีหเนิน พนักงานข้าว จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รวบรวมพันธุ์ข้าวหอมในเขตอำเภอบางคล้า ได้จำนวน  199  รวง  แล้ว ดร.ครุย บุณยสิงห์ (ผู้อำนวยการกองบำรุงพันธุ์ข้าวในขณะนั้น) ได้ส่งไปปลูกคัดพันธุ์บริสุทธิ์และเปรียบเทียบพันธุ์ที่สถานีทดลองข้าวโคกสำโรง (ขณะนี้เป็นสถานีข้าวลพบุรี) ดำเนินการคัดพันธุ์โดยนักวิชาการเกษตรชื่อ นายมังกร จูมทอง ภายใต้การดูแลของนายโอภาส พลศิลป์ หัวหน้าสถานีทดลองข้าวโคกสำโรง  จนกระทั่งปี พ.ศ. 2502  ได้พันธุ์บริสุทธิ์ข้าวขาวดอกมะลิ 4-2-105  และคณะกรรมการพิจารณาพันธุ์ข้าวได้อนุมัติให้เป็นพันธุ์ส่งเสริมแก่เกษตรกร  เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 โดยเกษตรกรทั่วไปเรียกว่า [ขาวดอกมะลิ105] ต่อมาได้มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าว [ขาวดอกมะลิ 105] จนได้ข้าวพันธุ์ [กข 15] ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ประกาศให้ ข้าวทั้ง 2 พันธุ์เป็นข้าวหอมมะลิไทย
ข้าวหอมมะลิในปัจจุบัน  ที่นิยมปลูกและบริโภคกันอย่างแพร่หลายคือพันธุ์ ขาวดอกมะลิ 105 และ พันธุ์ กข.15 ซึ่งปัจจุบันราคาข้าวหอมมะลิราคาตกต่ำลงมาเรื่อยๆ เนื่องจาก ข้าวพันธุ์ปทุมธานี 1 ให้ผลผลิตสูงกว่าข้าวหอมมะลิ 105 โดยผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 80-100 ถัง/ไร่ ปลูกได้หลายครั้งต่อปี และสามารถปลูกได้ดีในที่ลุ่มบริเวณที่ราบภาคกลาง ขณะที่ข้าวหอมมะลิ 105 นั้นจะให้ผลผลิตต่อไร่เพียง 30-40 ถัง/ไร่ และปลูกได้ดีในบางพื้นที่เท่านั้น ทางรัฐบาลจึงส่งเสริมให้ชาวนาเน้นการปลูกข้าวพันธุ์ปทุมธานี 1 มากกว่า 

พันธุ์ปทุมธานี 1 แม้ว่าจะมีความหอมคล้ายข้าวหอมมะลิ แต่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ

 

    

 

แหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่สำคัญของไทย

ประเทศไทยถือเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่ง โดยมีแหล่งเพาะปลูกสำคัญอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เขตทุ่งกุลาร้องไห้) และมีพื้นที่เพาะปลูกครอบคลุมกว่า 19 ล้านไร่ทั่วประเทศ โดยมีแหล่งผลิตสำคัญ คือ จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ นครราชสีมา อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด รองลงมาคือภาคเหนือ เนื่องจากสภาพดินฟ้า-อากาศและพื้นที่เพาะปลูกของทั้งสองภาคคล้ายคลึงกัน เหมาะแก่การเจริญเติบโตของข้าวหอมมะลิ กล่าวคือ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ดอน ฝนจะเริ่มตกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ชาวนาจะเริ่มหว่านไถ ในเดือนมิถุนายน และเพาะปลูกอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม เมื่อฝนเริ่มหมด ปลายเดือนตุลาคมจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน จึงเริ่มเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายนความชื้นจะน้อยเพราะเป็นช่วงที่ลมหนาวจากเมืองจีนเริ่มพัดเข้ามาในสองภาคนี้ ทำให้อากาศแห้งเหมาะในการเก็บเกี่ยว การตาก การนวด ก็ทำได้ง่าย เพราะน้ำแห้งนาหมดแล้ว ไม่มีฝน จึงทำให้ได้เมล็ดข้าวที่มีคุณภาพ สำหรับการปลูกข้าวหอมจะทำกันได้ดีเฉพาะที่ที่เป็นนาดอนเสียเป็นส่วนใหญ่

   

วิธีการปลูกข้าวหอมมะลิไทย
การปลูกข้าวหอมมะลิในปัจจุบัน เกษตรกรสามารถทำการปลูกได้เพียงปีละ 1ครั้ง เนื่องจากเป็นข้าวนาปี ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่ไวต่อช่วงแสง อายุการเก็บเกี่ยวข้าวไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับช่วงแสงที่ได้รับในช่วงของการออกดอก โดยช่วงแสงที่เหมาะสมในระหว่างที่ข้าวออกดอกคือ ช่วงกลางวันสั้น กลางคืนยาว ซึ่งจะอยู่ในช่วงเข้าสู่ฤดูหนาว และจะทำการเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงกลางเดือนธันวาคมของทุกปี และอาศัยน้ำฝนเป็นหลักในการเพาะปลูก

      3.1 นาหว่าน เป็นวิธีการปลูกแบบดั้งเดิม ซึ่งปลูกด้วยเมล็ดโดยตรง โดยหว่านเมล็ดข้าวแห้งโดยตรง หรือเพาะให้ข้าวงอกเล็กน้อยแล้วนำเมล็ดพันธุ์ข้าวหว่านในพื้นที่นาที่มีการเตรียมดินสำหรับการเพาะปลูก โดยปัจจุบันการปลูกข้าวนาหว่านสามารถทำได้ 2 แบบ คือ นาหว่านข้าวแห้ง และนาหว่านน้ำตม (นำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำให้ข้าวงอกก่อนทำการหว่าน) การปลูกด้วยวิธีนี้มีระบบรากลึกและแข็งแรง ทนต่อสภาพแล้ง
    3.2 นาดำ เป็นวิธีการการปลูกข้าวที่นิยมทำกันโดยทั่วไป เหมาะกับพื้นที่นาชลประทานที่สามารถควบคุมน้ำได้ โดยเกษตรกรต้องเตรียมต้นกล้าของข้าวก่อนที่จะย้ายมาปักดำในแปลงนาที่มีคันนา ซึ่งเป็นวิธีปลูกข้าวที่ปราณีต เพราะต้องคัดเลือกต้นกล้าที่แข็งแรงไม่เป็นโรคไปปักดำ ปัจจุบันการปลูกข้าวแบบวิธีนี้ มี 2 วิธี คือ ปักดำโดยใช้แรงงานคน เริ่มต้นจากการนำข้าวมาหว่านเพาะในแปลงนา และเมื่อข้าวได้อายุประมาณ 25-30 วัน เกษตรกรจะทำการถอนและนำต้นกล้ามาปักดำในนาข้าว และปักดำโดยใช้เครื่องจักร  จะมีการเพาะข้าวในถาดปลูกข้าว และเมื่อได้อายุการปักดำ จะนำถาดมาใสกับรถปักดำและปักดำข้าวในแปลงนา
      3.3 การเก็บเกี่ยว  
การเก็บเกี่ยวข้าวของเกษตรกรมี 2 วิธี คือ การเก็บเกี่ยวโดยใช้แรงงานคน  โดยใช้เคียวในการเก็บเกี่ยว และการเก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องจักร แต่เนื่องจากในปัจจุบันมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร และเพื่อความสะดวก และรวดเร็วทำให้เกษตรกรนิยมใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวเป็นหลัก 

               
สถานการณ์ข้าวหอมมะลิไทย 2556
** จากการประชุมประจำปีผู้ค้าข้าวโลกครั้งที่ 5 (The rice trader world rice conference 2013)ที่ฮ่องกงเมื่อพฤศจิกายนที่ผ่านมา “ข้าวพันธุ์ผกามะลิ จากกัมพูชา และข้าว California Rose”  จากสหรัฐอเมริก  ร่วมกันครองแชมป์ข้าวดีที่สุด  สร้างความมึนงงสงสัยให้กับคนไทยทั่วไป  แต่อาจจะหายสงสัยถ้าทราบว่าในเวทีโลกเรายังเสียแชมป์ให้กับชาติอื่นถึง 3 ปีซ้อนมาแล้ว  ซึ่งบทความดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงสาเหตุหลักที่มาจากการมุ่งผลิตข้าวเชิงปริมาณมากกว่าเชิงคุณภาพ  ในฐานะของคนไทยคนหนึ่ง รู้สึกกังวลใจในความตกต่ำของข้าวหอมมะลิไทยเป็นอย่างยิ่ง 
** ข้าวหอมมะลิเปรียบเสมือนจิตวิญญาณของบรรพบุรุษไทย  ที่มอบไว้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมาแต่อดีต-ปัจจุบัน  การตื่นรู้และตระหนักคิด เรื่อง “คุณภาพข้าวไทย”  จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน  โดยเฉพาะหน่วยงานราชการด้าน “ข้าว” และกลุ่มเกษตรกร  ที่จะช่วยกันผลักดันและพัฒนา “ข้าวไทย”  ให้กลับมาสร้างมูลค่า...สร้างคุณค่า และสร้างความภาคภูมิใจแก่ประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้...

           
ความหอมของข้าว 
**  ข้าวหอมมะลิจะหอมมากหอมน้อย  ขึ้นอยู่กับลักษณะพันธุกรรมของข้าวว่า  มีสารหอมระเหยกลิ่นใบเตยที่เรียกว่า 2AP (2-acetyl-1-pyroline)  ปนอยู่ในเนื้อแป้งข้าวมากแค่ไหน   ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของข้าวหอมมะลิที่ไม่เหมือนข้าวพันธุ์อื่น   การรักษาความหอมของข้าวหอมมะลิให้คงอยู่นานนั้นจึงควรเก็บข้าวไว้ในที่เย็น อุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส เก็บข้าวเปลือกที่มีความชื้นต่ำ 14-15% ลดความชื้นข้าวเปลือกที่อุณหภูมิไม่สูงเกินไป และจากการศึกษาของกรมการข้าวมาตั้งแต่ปี 2550โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาช่วยวัดค่าความหอม  พบว่าพันธุ์ข้าวหอมมะลิแท้  ยังคงความหอมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...แต่สิ่งที่ทำให้ความหอมลดลง   มาจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิม 
**  นายไพฑูรย์  อุไรรงค์  รองอธิบดีกรมการข้าวบอกว่ามาจากหลายปัจจัยด้วยกัน  อาทิ  ภาวะโลกร้อน อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลให้น้ำมันหอมที่อยู่ในแป้งข้าว ระเหยหายไปได้เร็วกว่าเมื่อก่อน ยิ่งการรีบเอาข้าวเปลือกมาสีเป็นข้าวสาร  น้ำมันหอมจะระเหยเร็วกว่าอยู่ในสภาพเป็นข้าวเปลือก....โครงการรับจำนำข้าว ที่กำหนดกฎเกณฑ์ให้รีบแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสารโดยเร็ว และเก็บรักษาไม่ดีไม่เก็บในอุณหภูมิต่ำ  เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าวหอมมะลิมีกลิ่นเจือจางลง

      
คุณภาพการผลิตข้าวหอม 
**  การปลูกเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความหอมเปลี่ยนไป  จากการทดลองของกรมการข้าวพบว่า  1)การจะทำให้ข้าวหอมมะลิหอมมากที่สุด  ในช่วงที่ข้าวออกดอกได้  7  วัน  ต้องไขน้ำออกจากนาให้แห้ง 1-2 สัปดาห์  จากนั้นจึงค่อยสูบน้ำเข้านาอีกครั้ง  จะเป็นวิธีที่ทำให้ต้นข้าวหอมมะลิเกิดความเครียด และเร่งสารน้ำมันหอมออกมามากเป็นพิเศษ  แต่วิธีการนี้ชาวนาไทยไม่ค่อยมีใครได้ทำกัน   2)  ธาตุอาหารเสริมจำพวกแมงกานีส  กำมะถัน  และแมกนีเซียม  มีอิทธิพลต่อความหอมอย่างมีนัยสำคัญ  ดังนั้นข้าวหอมมะลิที่ปลูกในพื้นที่ที่มีธาตุอาหารเหล่านี้สูง  ข้าวจะหอมมากกว่าพื้นที่อื่น
**  ข้อมูลของกรมการข้าวยังระบุอีกหนึ่งสาเหตุ  คือ การบำรุงดินแบบเดิม ๆ รู้จักแต่ใส่ปุ๋ยหลักN-P-K  อย่างเดียว  ไม่มีการใส่ธาตุอาหารเสริมที่ได้จากปุ๋ยพืชสด  แถมบางพื้นที่ยังใช้วิธีเผาตอซังอีก ยิ่งเป็นการทำลายธาตุอาหารเสริมหนักขึ้นไปอีก เลยส่งผลให้ข้าวหอมมะลิไม่หอมเหมือนเก่า...ที่น่าเป็นห่วงมากในปัจจุบันก็คือ การที่ชาวนาบางพื้นที่  ใช้ที่นาแบบซ้ำซาก  ปลูกข้าวติดต่อกันแบบไม่มีการพักดิน  ทำให้ปริมาณและคุณภาพของข้าวลดลงอย่างเห็นได้ชัด
**  อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ  การใช้เมล็ดพันธุ์ที่นำมาปลูก ยังนิยมใช้ข้าวเก่ามาทำพันธุ์ต่อเนื่องโดยไม่ยอมเปลี่ยนพันธุ์ไปใช้พันธุ์แท้  ทั้งที่มีข้อมูลทางวิชาการยืนยันว่า  ข้าวไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไหน ๆ ถ้านำไปปลูกติดต่อกันเกกินกว่า 3 ฤดู  ลักษณะเด่นประจำพันธุ์มักจะเพี้ยนเปลี่ยนไป และจะมีข้าวพันธุ์อื่นมาปนผสมอีกต่างหาก  แค่มีข้าวพันธุ์อื่นมาปนแค่ 1 เมล็ดพันธุ์ มันจะเติบโตเป็นข้าว 1 กอ ให้เมล็ดข้าวประมาณ 2,000 เมล็ด และเมื่อนำไปปลูกในฤดูที่สอง เมล็ดพันธุ์ปนจะเพิ่มเป็น 4,000,000 เมล็ดพันธุ์....ถ้าเอาไปปลูกต่อในฤดูที่ 3-4-5 จะเหลือเมล็ดพันธุ์แท้ ๆ ให้เก็บเกี่ยวจำนวนเท่าไร

บทสรุป
      จากสถานการณ์ “ข้าวหอมมะลิไทย”  ที่ตกต่ำอยู่ในปัจจุบัน  จำเป็นที่ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง  ต้องกำหนดให้เป็นวาระระดับชาติเพื่อการปรับปรุงพัฒนาข้าวหอมมะลิไทย รวมทั้งข้าวไทยอื่น ๆ ให้กลับมาทัดเทียมนานาประเทศ และเป็นกลุ่มผู้นำข้าวที่มีคุณภาพเหมือนอย่างที่เคยมา...

ว่าด้วยเรื่องผ้า Pashmina (3)


จากบทความในครั้งก่อน หลายคนอาจยังสงสัยเกี่ยวกับการเลือกซื้อพัชมีนา ที่ปัจจุบันมีขายอยู่เกลื่อนตลาด อันไหนแท้ อันไหนปลอม จะดูอย่างไร... นี่เป็นเกร็ดความรู้คร่าวๆจากเว็บไซต์ของผู้ผลิตที่จะทำให้เราเข้าใจสินค้าพัชมีนาได้มากขึ้น

พัชมีนาเป็นสินค้าแฮนเมด คุณภาพของพัชมีนาขึ้นอยู่กับกระบวนการในการผลิต พัชมีนาแฮนเมดจะมีความละเอียดและความแน่นของเนื้อผ้ามากกว่า อบอุ่นและดูหรูหรากว่าแบบที่ผลิตโดยเครื่องจักร จากการที่พัชมีนาแท้ๆนั้นจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นใยเพียง 15 – 19 ไมครอนเท่านั้น จึงยากที่จะปั่นด้วยเครื่องจักร การปั่นส้นใยพัชมีนาที่ดีจะต้องทำด้วยมือ และอย่าให้ป้ายยี่ห้อหรือชื่อของแบรนด์ดังมาทำให้เราสับสน เพราะพัชมีนาส่วนใหญ่ทอโดยช่างท้องถิ่นในเนปาล จากนั้นร้านใหญ่จึงค่อยนำยี่ห้อไปติด ความจริงก็คือผ้าพันคอและผ้าคลุมไหล่พัชมีนาของผู้นำเข้ารายใหญ่นั้นมีบางส่วนที่ผลิตโดยเครื่องจักรซึ่งทำให้มีราคาถูกลง และทางร้านก็ยังคงรักษาชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือไว้ได้ จุดสังเกตพัชมีนาที่ผลิตโดยเครื่องจักร ดูได้จากขอบที่ฐานผ้าซึ่งจะเรียบตรงแบบไม่เป็นธรรมชาติ
100% พัชมีนา จะหมายถึงขนแพะ (พัชมีนา)เพียวๆ ไม่มีไหมหรือเส้นใยอย่างอื่นมาปน แต่อย่างไรก็ตามคุณภาพที่แตกต่างกันของผ้า Pashmina แต่ละเกรดก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย pashminasหรือแคชเมียร์ 100% จะไม่เป็นแข็งแรงเท่ากับแบบที่เป็น Pashmina 70% และผสมไหม 30% และผ้าพัชมีนาเกรดรองๆทั้งหลาย พัชมีนาบริสุทธิ์จะขาดความเงาและความหรูหราของเนื้อผ้าไหมที่บางคนชอบ ทำให้มีลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่พอใจจะซื้อแบบผสมไหมไปใช้มากกว่า
"ring shawl" คือผ้าคลุมไหล่พัชมีนาขนาดปกติ (82 x 32) ทำจากเส้นใยที่ละเอียดที่สุดทำให้ได้ผ้าที่บางจนสามารถลอดผ่านแหวนได้อย่างง่ายดายและเกือบจะไร้น้ำหนัก (เบากว่า 5 ออนซ์) ทั้งยังอุ่นกว่าผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์ชนิดอื่นสองหรือสามเท่า มีสัมผัสนุ่มชนิดที่ไม่สามารถหาจากได้ขนสัตว์อื่นๆ
   หลายคนอาจเคยเจอพัชมีนาที่ขายในราคาถูกกว่าที่กล่าวมา นั่นขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้าพัชมีนานั้นๆด้วย ผ้าคลุมไหล่หรือผ้าพันคอที่ติดป้ายว่าเป็นพัชมีนาบางส่วนที่ทำในอินเดียและประเทศอื่นๆจะถูกลดคุณภาพลง ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่ เพียงแค่คุณจะไม่ได้พัชมีนาของแท้ แม้แต่ในเนปาล ผ้าที่ถูกผลิตในรูปแบบเดียวกับพัชมีนาก็เกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งจะกลายเป็นสินค้าที่มีราคาถูกลง บ้างทำจากใยอะคริลิค หรือจากขนสัตว์ที่หาได้ในท้องถิ่น เช่นขนแกะ หรือจากฝ้าย แต่โชคไม่ดีที่คำว่า "ผ้าพัชมีนา" มีความหมายทั่วไปค่อนข้างกว้าง ความเป็นจริงแล้วสินค้าพัชมีนาที่ได้รับความนิยมมากในประเทศตะวันตกทำจากเส้นใยผสมระหว่างขนสัตว์และไหม แต่ผู้คนก็ยังคงเรียกชื่อสินค้าแบบรวมๆว่าพัชมีนา
  คุณสมบัติอื่นๆของพัชมีนาหรือผ้าแคชเมียร์ ในการย้อมสีถ้าจะให้มีคุณภาพดีต้องใช้สีย้อมสวิส ผ้าคลุมไหล่โดยทั่วไปขนาด "full-size" จะประมาณ 82 "32" หรือ 35 "x78 พัชมีนาสีธรรมชาติ (ไม่ได้ย้อม) ก็อาจมีขนาดสอดคล้องกับค่านิยมเหล่านี้ แต่ผ้าจะหดตัวโดยประมาณ 4% (ประมาณ 3 นิ้วในระหว่างกระบวนการย้อมสี ทุกวันนี้ได้มีความพยายามที่จะชดเชยการหดตัวโดยการเพิ่มขนาดของผ้า แต่ก็ยากมากที่จะประสบความสำเร็จในการกำหนดขนาดเพราะผ้ามีความยืดหยุ่น และเป็นการทอด้วยมือที่ขนาดย่อมต้องมีความแปรปรวนไปบ้าง ขึ้นอยู่กับรูปแบบการทอ ความตึงของผ้าและอื่น ๆ ซึ่งตามธรรมชาติจะไม่มีการวัดได้แม่นยำ แต่ความจริงแล้วพัชมีนาสามารถทอในขนาดใดๆ ก็ได้ ที่เป็นความต้องการสั่งซื้อของลูกค้า
ความต่างระหว่างผ้าแบบ2ชั้นและชั้นเดียว
ผ้าคลุมไหล่แบบสองชั้นจะทอโดยใช้ด้ายคู่ ผลที่ได้คือผ้าที่หนานุ่มขึ้น แต่อย่าลืมว่าความบางเบาเป็นปัจจัยที่สำคัญในของผ้า Pashmina ที่แตกต่างจากผ้าชนิดอื่นๆ แต่ผลิตภัณฑ์ทั้งสองประเภทให้ความอบอุ่นไม่ต่างกันมากนักเพราะวัตถุดิบเหมือนกันคือคุณสมบัติของขนแพะ Chyangra (Capra Hircusที่ช่วยให้อบอุ่น
ในปัจจุบันนนอกจากประเทศแถบเทือกเขาหิมาลัยที่เป็นแหล่งต้นกำเนิดของผ้าพัชมีนาแล้ว ก็มีประเทศอื่นๆได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมพัชมีนาเช่นกัน นี่คือบทความเกี่ยวกับการผลิตสินค้าจากขนแพะแคชเมียร์ ที่ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในประเทศจีน

เสื้อขนแพะแคชเมียร์สุดหรูขุมทรัพย์มหาศาลของจีน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 พฤษภาคม 2554
 เจ้าแพะแคชเมียร์ รุ่นเด็กซุกซนเอาหัวโผล่ออกมานอกรั้วฟาร์มในเมืองโอดอส (เอ้อเอ่อตัวซือ) เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ซึ่งว่ากันว่าผลิตขนแพะแคชเมียร์ ที่งดงามที่สุดในโลก ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2554 – เอเอฟพี

อู่ ซู่ชิง” สาวโรงงานทางภาคเหนือของจีนนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่เหนือเครื่องจักร ที่กำลังถักเสื้อขนแพะแคชเมียร์สีเขียวอย่างว่องไว ทุกวินาที ที่เครื่องถักไหมพรมเคลื่อนไหว และเสื้อเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อย ๆ 
      
       มันคือเงินทอง ที่หลั่งไหลเข้ามาสู่เจ้าของกิจการ และตัวของอู่เอง 
      
       เพราะเสื้อขนแพะสีสันสดใสเหล่านี้จุดหมายปลายทางอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า และราคามันแพงเอาเรื่องทีเดียว
อู่กับเพื่อน ๆ ในโรงงานอีกหลายสิบคนผลิตเสื้อขนสัตว์ หรือที่เรียกกันว่าเสื้อสเวตเตอร์ปีหนึ่งได้มากกว่า แสนตัว ซึ่งเมื่อเอาไปขายในกรุงปักกิ่ง หรือนครเซี่ยงไฮ้แล้ว ราคาตัวหนึ่งสูงถึงหลายร้อยดอลลาร์

“ แรก ๆ ฉันก็เหนื่อยหรอกค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ชินเสียแล้ว” เธอเล่าถึงสภาพการทำงานวันละ 11 ชั่วโมง ท่ามกลางเสียงแผดดังของเครื่องถักไหมพรมตรงหน้า ภายในโรงงานมอซอในเมืองโอดอส ( เอ้อเอ่อตัวซือ) ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน
      
       ปัจจุบัน จีนเป็นชาติผู้ผลิตเสื้อขนแพะแคชเมียร์รายใหญ่สุดในโลก โดยป้อนสู่ตลาดโลกมากถึงร้อยละ 75-80 ซึ่งประมาณการณ์ว่า มีมูลค่าราว 5-6 พันล้านหยวนต่อปี
      
       ในบรรดาเสื้อขนสัตว์ประเภทต่าง ๆ นั้น เป็นที่รู้จักกันดีว่า เสื้อขนแพะพันธุ์แคชเมียร์มีราคาสูงมาก จนได้รับฉายาว่า ทองคำเนื้อนุ่ม” หรือ เส้นใยเพชร” และในขณะที่ยอดส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และยุโรปหดตัวลงจากวิกฤตการเงินโลก แต่ รสนิยมใช้สินค้าหรูหรา ที่กำลังระบาดในเมืองจีนเอง ได้ทำให้เสื้อขนสัตว์หรูเริ่ดนี้ กำลังเป็นที่ต้องของตลาดในประเทศ 
      
       กล่าวได้ว่า สภาพอากาศในช่วงฤดูหนาว ซึ่งทั้งหนาวและแห้งแล้งบนพื้นที่ราบสูงในภาคเหนือและภาคตะวันตกของจีนเหมาะ สมอย่างยิ่งสำหรับการผลิตขนสัตว์ ซึ่งนุ่มหนาราวปุยเมฆนี้ เพราะแพะแคชเมียร์จะและเล็มหญ้า หากินกระจัดกระจายไปทั่วภูมิภาค และสร้างขนยาวให้ดกหนา รักษาร่างกายให้อบอุ่น 
      
       จากนั้น ขนของมันจะถูกนำมาปั่นเป็นเส้นด้ายหนา แล้วเอามาถักเป็นเสื้อสเวตเตอร์ ผ้าพันคอ และผ้าคลุมไหล่ แบรนด์หรูอย่างแอร์เมส และอีริก บงปา นำไปจำหน่ายที่ปารีส นิวยอร์ก และซิดนีย์
 
 เสื้อถักด้วยขนแพะ แคชเมียร์หลากหลายสีสันมีให้คุณเลือกมากมายที่ร้านขายปลีกในเมืองโอดอส (เอ้อเอ่อตัวซือ) เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน – เอเอฟพี
 
ขนแพะแคชเมียร์ดิบราคายังแพงขึ้นเกือบ เท่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อแพะแคชเมียร์ลดจำนวนลง เพราะสภาพอากาศหนาวรุนแรง และคำสั่งของทางการจีน ที่ห้ามเจ้าของฝูงแพะนำสัตว์เลี้ยงมาหากินกลางทุ่งหญ้าในเขตมองโกเลียใน เพราะจะทำให้หน้าดินถูกกัดเซาะ
      
       ราคาขนแพะแคชเมียร์ดิบ ที่แพงขึ้นทำให้แม่เฒ่า เมิ่ง โหลวหนี่ว์ คนเลี้ยงแพะวัย 77 ปี ยิ้มแก้มปริ เพราะครอบครัวของนาง ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านริมทะเลทรายโกบี้ อันกว้างใหญ่ เลี้ยงแพะแคชเมียร์ตั้งหลายร้อยตัว ปีหนึ่ง ๆ มีรายได้ถึงหนึ่งล้านหยวน ยกระดับชีวิตให้ดีขึ้นอย่างมาก
 คนงานในโรงงานถักเสื้อขนแพะแคชเมียร์ในเมืองโอดอส (เอ้อเอ่อตัวซือ) เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน – เอเอฟพี
ด้านหญิงเจ้าของร้านขายส่งเสื้อขนแพะแคชเมียร์ในเมืองโอดอสเองบอกว่า เธอชอบขนสัตว์ชนิดนี้ เพราะมันสวมใส่แล้วสบายดี โดยเสื้อขนแพะแคชเมียร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ขายในเมืองแห่งนี้ได้สูงถึง 2,000 หยวน
      
       ทว่าสำหรับโรงงาน ที่ผลิตเสื้อออกขายนั้น ยิ้มไม่ค่อยออก เพราะนอกจากราคาขนแพะดิบจะแพงขึ้นแล้ว ธุรกิจยังแข่งขันกันมากขึ้น โรงงานผลิตเสื้อขนสัตว์แคชเมียร์ผุดขึ้นทุกหนทุกแห่งบนแดนมังกร เฉพาะในเมืองโอดอส มีโรงงานมากกว่า 10 แห่ง
      
       อู่ ซู่ชิง” สาวโรงงานผู้อาจไม่มีปัญหาซื้อเสื้อหรูราคาแพงระยับ ที่ผลิตมากับมือนี้ แต่เธอก็เข้าใจดีว่า ทำไมผู้คนจึงยอมจ่ายเงิน ซึ่งอาจมากเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนของเธอ หรือมากกว่าด้วยซ้ำ เพื่อได้เป็นเจ้าของมัน
      
       เมื่อสวมใส่แล้ว จะรู้สบาย และช่างดีจริง ๆ ค่ะ” เธอการันตี

ว่าด้วยเรื่องผ้า Pashmina (2)


ครั้งก่อนได้พูดคร่าวๆเกี่ยวกับผ้าพัชมีนาในฐานะของที่ระลึกยอดฮิตจากประเทศแถบเทือกเขาหิมาลัย ตอนนี้จะเล่าถึงประวัติความเป็นมาของผ้าชื่อดังชนิดนี้ ซึ่งมีเรื่องราวน่าสนใจเช่นกัน
    พัชมีนาถูกนำมาใช้ครั้งแรกในอินเดียจากขนแพะซึ่งมีชื่อว่า "พัชม์" (Pashm) แพะภูเขาสายพันธ์พิเศษที่มีชีวิตอยู่บนเขาสูงอย่างเช่นเทือกเขาหิมาลัยในเนปาล ปากีสถาน และทางตอนเหนือของอินเดีย ผ้าคลุมไหล่พัชมีนาเกิดจากการนำเส้นขนมาปั่นเป็นด้าย ทอและปักด้วยมือในเนปาลและแคชเมียร์ จึงอาจรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่าเส้นใยแคชเมียร์
  ผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์ที่ทำในแคชเมียร์ถูกกล่าวถึงในบันทึกภาษาอัฟกันระหว่างศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลจนถึงศตวรรษที่ 11แต่ผู้ก่อตั้งอุตสาหกรรมผ้าขนสัตว์แคชเมียร์อย่างจริงจังขึ้นครั้งแรกเป็นผู้ปกครองแคชเมียร์ในศตวรรษที่ 15 Zayn-ul-Abidin  ผู้ริเริ่มนำวิธีการทอผ้าจากเอเชียกลางมาใช้ ผ้าคลุมไหล่Cashmere ถูกผลิตขึ้นในเนปาลและแคชเมียร์มานับพันปี คุณสมบัติของพัชมีน่าคือแม้ว่าจะเป็นผ้าบางๆที่มีน้ำหนักเบา แต่สามารถให้ความอบอุ่นได้ดีแม้ในอุณหภูมิเลขตัวเดียวและให้ความรู้สึกอ่อนนุ่ม แต่ก็สามารถนำมาใช้ห่มเย็นสบายในฤดูร้อนเช่นกัน
พัชมีนาจากแคชเมียร์ทอจากขนแพะ100% Pashmina เนื้อผ้าละเอียดบางเบา ปัจจุบันมีการย้อมเป็นสีต่างๆและปักลวดลายด้วยมือโดยใช้ด้ายเส้นเดียว
 ความแตกต่างของเส้นใยพัชมีนาและแคชเมียร์คือขนาดของเส้นใย พัชมีนาจะมีความละเอียดและบางกว่าเส้นใยแคชเมียร์จึงเหมาะสำหรับนำมาทำสิ่งทอที่มีน้ำหนักเบาเช่นผ้าพันคอเนื้อละเอียด แต่ในปัจจุบันคำว่าPASHMINA ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งกับผ้าพันคอที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติและสังเคราะห์ทำให้เกิดความสับสนอย่างมากในท้องตลาด    บางคนเชื่อว่าพัชมีนาที่ดีที่สุดต้องมาจากเนปาล ด้วยว่าแพะภูเขาถูกเลี้ยงและพัฒนาสายพันธุ์มานานนับศตวรรษ การใช้ชีวิตบนความสูงของเทือกเขาหิมาลัยที่ยากลำบากและหนาวจัด ทำให้ขนของแพะที่นี่มีความพิเศษคือสามารถรักษาความอบอุ่นและมีน้ำหนักเบา ซึ่งเส้นใยอาจจะมีความหยาบและอุ่นกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเส้นใยจากแคชเมียร์ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีระดับความสูงน้อยกว่า พัชมีนาจากเนปาลเรียกว่าChangra Pashmina แต่ความจริงแล้วพัชมีนาจากลาดัคห์หรือ Ladakhi pashmina ก็คล้ายกับของเนปาลเพราะถูกผลิตในขึ้นในภูมิประเทศที่ระดับความสูงใกล้เคียงกันบนพื้นที่ชายแดนระหว่างจีนและอินเดีย ที่ซึ่งมีอากาศหนาวจัดและเหมาะสมอย่างมากในการเลี้ยงแพะภูเขาที่จะนำขนมาทำเส้นใยพัชมีนา

พัชมีนาจากเนปาล อันนี้เป็นแบบทอผสม Cotton เนื้อผ้าจะหนากว่าแบบ 100% Pashmina ทำให้สามารถปักลายหนาๆได้ โดยราคาของผ้าก็จะขึ้นอยู่กับส่วนผสมของWool ในเนื้อผ้าและความละเอียดของลวดลายพัชมีนาจากเนปาล นำมาประยุกต์เป็นเสื้อ สวยและอุ่นสบาย
   เพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อมแช่แข็งที่ระดับความสูง 14,000 ฟุต มันจะผลิตขนอ่อนอันน่าทึ่ง ซึ่งมีความละเอียดกว่าเส้นผมของมนุษย์ถึง 6 เท่า มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 14-19 ไมครอน ดังนั้นจึงไม่สามารถนำมาปั่นด้วยเครื่องจักร ขนสัตว์ที่ถูกถักทอด้วยมือกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์cashmere ชนิดต่างๆ รวมทั้งผ้าคลุมไหล่, ผ้าพันคอ,ผ้าห่ม, ผ้าคลุม ฯลฯ เพื่อส่งออกไปขายทั่วโลก
  คำว่าPashmina มาจากภาษาเปอร์เชีย "pashmหมายถึงขนสัตว์  โดยชาวอิหร่านที่เดินทางมายังแคชเมียร์ผ่านเส้นทางDrass Ladakh พัชมีนาจากแคชเมียร์ มีชื่อเสียงมานานหลายศตวรรษเนื่องจากคุณภาพและผลิตภัณฑ์เช่น Pashminaสีพื้น และ ผ้าพัชมีนาปักลวดลาย
พัชมีนาแบ่งเป็น ชนิด คือ….
1) ชาห์ปาชิม (Shahpashim)
ผ้าคลุมไหล่ชนิดนี้ ได้รับฉายาว่า King of Pashmina ทอจากขนแพะภูเขาที่เลี้ยงในที่ราบ พัชมีนาชนิดที่มีคุณภาพสุดยอด เด่นที่ความอ่อนนุ่ม บางเบาความนิ่มของเนื้อผ้า ยืดหยุ่นให้ตัวได้ ขยำอย่างไร ไม่มีรอยยับ ผ้านุ่ม..และ เบา ให้ความอบอุ่นได้เป็นอย่างดีแม้ในอุณหภูมิเลขตัวเดียว และเย็นสบายแม้อากาศร้อนอบอ้าว จึงเป็นความมหัศจรรย์และเป็นเสน่ห์ที่ชวนให้หลงไหลเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีการปักลวดลายตามขอบด้วยลวดลายอันวิจิตร มีให้เลือกตามฐานะ
พัชมีนา มีราคาเริ่มต้นที่ US$ 700
2) คานิ ชอว์ล (Kani Shawl)
เป็นผ้าทอมือ ชนิด..สอดสีลวดลายทั้งผืน ใช้กี่ทอเหมือนการทอผ้า แต่จะใช้กรอด้ายสีทำจากไม้เล็กๆ แทนเข็มในการทอลาย  ความละเอียดของลวดลาย ซึ่งเกิดจาก การมัดด้ายสีต่างเฉด โดยนายช่างจะร่างแบบด้วยลงกระดาษกราฟเพื่อใช้กำหนดสี แล้วถอดลายขึ้นเป็นรหัสสีเขียนลงในแถบกระดาษที่เรียกว่าทาลิม (talim) รหัสสีที่ว่านี้เป็นสัญลักษณ์เฉพาะที่รู้กันในหมู่ช่างทอที่จะบอกถึงเฉดสี สีเขียว สีชมพู  สีเหลืองพัชมีนา..ที่ทอลายสอดสี ด้วยเทคนิคคานิ ใช้เวลาในการทอแต่ละผืนประมาณ 1ปี ถึง 1ปีครึ่ง มีราคาเริ่มต้น US$ 5,000 ขึ้นไป
3) ชาตูช (Shatoosh)
พัชมีนา ชนิดนี้ใช้ในราชสำนักของจีนและอินเดียได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งอาภรณ์ Queen of Pashmina ที่มีคุณภาพสุดยอด อ่อนนุ่ม บางเบา ได้มีการยอมรับว่าเป็นผ้าที่ได้มาจากเส้นใยมหัศจรรย์ (Wonder Yarn) ที่มีเสน่ห์ที่ชวนให้หลงไหลเป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นที่น่าเสียใจและเสียดาย เพราะเนื้อผ้าชนิดนี้หาไม่ได้ ไม่มีจำหน่ายแล้ว เพราะการได้มาของชาตูชต้องแลกด้วยชีวิตและการสูญพันธุ์ของกวาง ชีรู (Chiru) ลักษณะคล้ายกับกวางAntelope เป็นเส้นใยจากขนกวางหิมะ..ซึ่งเหลือน้อยมากแล้ว ปัจจุบันอาจจะพบได้บ้างในที่ราบสูงChang Tang และเทือกเขาสูงธิเบตในประเทศจีนและอินเดีย
 เจ้ากวางชีรู

ปัจจุบันองค์กรพิทักษ์สัตว์ นานาชาติทั่วโลกประท้วงและระงับมิให้มีการซื้อขาย นำเข้า ในทุกประเทศภายใต้อนุสัญญาไปเรียบร้อยแล้ว
พัชมีนา เนื้อผ้า ชาตุช ยังมีการลักลอบซื้อขายกันในตลาดมืดแคชเมียร์ ในราคา US$ 5,000-17,000