กำลังจะพ้นผ่านปีเก่า 2556 ไปพร้อมกับการทอดถอนใจถึงความไม่ก้าวหน้าของกระทรวง “คุณครู” ด้วยตลอด 1 ปีมานี้ นอกจากจะได้รับผลกระทบของการบริหารทางการเมือง ที่ปรับเปลี่ยนตัวเจ้ากระทรวงมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระลอกแต่ช่วงปลายปี 2555 มาสู่ช่วงกลางปี 2556 ที่เปลี่ยนตัวจาก นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช มาเป็น นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา และล่าสุด คือ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แต่ละคนทำงานได้เฉลี่ยคนละ 5-6 เดือน โดยเฉพาะ รมว.ศึกษาธิการ คนล่าสุดเคยนั่งเก้าอี้ดังกล่าวมาแล้ว ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งด้วยพิษการเมือง ซึ่งมีการประกาศยุบสภาในปี 2549 แล้วก็เข้าสู่บ้านเลขที่ 111 เว้นวรรคการเมืองไป 5 ปี กลับออกมาหนนี้แม้จะได้หน้าได้ตามีที่ลงหลักอำนาจ แต่อยู่ได้ไม่นานก็โดนพายุเดิมซัดอีกเป็นหนที่สอง!!
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารจะเป็นคนจากพรรคเดียวกัน แต่ทว่า...แต่ละคนก็มักจะมอบนโยบายใหม่ หรือแม้จะสานต่อนโยบายเดิมๆ ภายใต้นโยบายรัฐบาลแต่ก็ปรับรูปแบบในสไตล์ของตน ส่งผลให้งานประจำก็ไม่ก้าวหน้า งานนโยบาย อย่างปฏิรูปการศึกษารอบ 2 การพัฒนาครู พัฒนาคุณผู้เรียน หรือกระทั่งนโยบายขับเคลื่อนเตรียมพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ก็ไม่เด่น กลายเป็นว่าเรื่องช่วงปี 2556 ที่ผ่านมามีแต่ข่าวฉาวที่สร้างชื่อเสีย...
ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดหนีไม่พ้นกรณี “การทุจริตการสอบครูผู้ช่วย ว12 กรณีพิเศษหรือเหตุจำเป็น” ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หากใครที่ติดตามมาแต่ต้นจะพบว่าข่าวชิ้นนี้เป็นมหากาพย์การทุจริตครูที่ถูกนำเสนอบนหน้าหนังสือพิมพ์และข่าวเด่นบนจอโทรทัศน์ ยาวนานและต่อเนื่องอยู่หลายเดือน และยังคงมีการนำเสนออยู่เป็นระยะในช่วงค่อนปีหลัง เริ่มแต่มีการเปิดข่าวพบพิรุธและสงสัยว่าจะมีการกระทำทุจริตเป็นขบวนการ สุดท้ายต้องยืมมือกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ไล่ขุดหาต้นตอและวิธีการในการโกงออกมาแฉ! นำมาสู่การล้มกระดานจัดสอบและควานหาตัวคนผิด ซึ่งพบพิรุธตั้งแต่กระบวนการจัดส่งข้อสอบ รูปแบบการโกง มีการนำผู้เชี่ยวชาญทางการวัดและประเมินผลมาช่วยวิเคราะห์ จนพบว่ามีกลุ่มที่น่าสงสัยว่าทุจริตสอบเพราะได้คะแนนสูงผิดปกติ 344 ราย ซึ่งจำนวนนี้บางรายได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยแล้วก็ต้องให้ผู้อำนวยการโรงเรียนให้ออกจากราชการ แต่ก็ยังไม่วายเกิดปัญหาตามมาเหตุบางรายอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมถูกให้ออกโดยไม่มีการสอบสวน ล่าสุดคือ นายจาตุรนต์ ในฐานประธานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ให้มีการชะลอโดยขอให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ไปทำความเข้าใจกับผู้บริหารโรงเรียนและวนไปเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตุว่าการดำเนินการลักษณะนี้อาจจะต้องการซื้อเวลาให้เรื่องยืดยาวจนคนลืมหรือไม่
ขณะที่ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตั้งแต่ระดับผู้บริหารไปจนถึงระดับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นำมาสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะ นายชินภัทร ภูมิรัตน อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่เวลานี้เกษียณอายุราชการแล้วโดน 2 เด้ง คดีแรกโดนคนเดียวฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของราชการอันเป็นเหตุให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรง มีการสอบปากคำพยานเรียบร้อยและคาดว่าจะสรุปผลในเดือนธ.ค.2556นี้ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ปรากฎ ขณะที่คดีที่ 2 นายชินภัทร ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงร่วมกับข้าราชการอีก 7 ราย ฐานกระทำผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ ซึ่งคดีนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนและคาดว่าจะสรุปผลได้ในเดือน ม.ค.2557 เพราะฉะนั้น เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นข้อสรุปในฐานความผิดทั้งที่ดำเนินการโดยส่วนราชการ หรือกระทั่งในทางคดีอาญาโดยดีเอสไอ เกี่ยวกับปมการทุจริตการสอบครูผู้ช่วยจึงยังไร้ข้อสรุปที่ชัดเจน!
อีกเรื่องสำคัญที่สะท้อนความล้มเหลวในการบริหารงานการศึกษา ผลาญงบประมาณแผ่นดินมูลค่ามหาศาลแต่ใช้อย่างไม่คุ้มค่า นั่นคือ โครงการ 1 คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน ประจำปี 2556 นโยบายขายฝันเพื่อเรียกคะแนนประชานิยมต่อเนื่องในปีที่ 2 ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่ปีแรกของโครงการแจกระดับ ป.1 มาแล้วกว่า 8 แสนเครื่องในปีการศึกษา 2555 มาในปีการศึกษา 2556 ได้เพิ่มเป้าหมายแจก ป.1 และ ม.1 รวมจำนวนกว่า 1.6 ล้านเครื่อง วงเงิน 4,611 ล้านบาท โดยหากการดำเนินการโครงการดังกล่าวเป็นไปตามระบบและไม่เกิดปัญหาติดขัด แน่นอนว่าเวลานี้นักเรียน ป.1 และ ม.1 ทุกคนจะมีแท็บเล็ตใช้เรียนมาแล้วในภาคเรียนที่ 1/2556 ที่ผ่านมา แต่ความจริงที่สุด ณ เวลานี้ล่วงเลยเวลาสู่ภาคเรียนที่ 2 ในปีการศึกษาเดียวกัน กลับไม่ปรากฏเครื่องแท็บเล็ตให้เด็กใช้เรียน!
คาดว่าปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากขาดความต่อเนื่องของการบริหารงานระดับนโยบาย ที่มีการเปลี่ยนแปลงหนำซ้ำการวางแผนก็เป็นไปอย่างล่าช้า และอาจจะเป็นความผิดพลาดที่สุด ที่ปีที่ 2 นี้ให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดย สพฐ.เป็นตัวแทนของหน่วยงานที่มาสถานศึกษาในสังกัดรวม 8 หน่วยงานมาเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อแท็บเล็ตในครั้งนี้เอง โดยเฉพาะหากพิจารณาย้อนไปกระบวนการต่างๆ เตรียมพร้อมเริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.2555 ซึ่งเริ่มต้นปีงบประมาณ 2556 เมื่อครั้งนายสุชาติ ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการ ศธ.ได้เริ่มเตรียมการสำหรับจัดซื้อแท็บเล็ต ป.1, ม.1 และครู ของปีการศึกษา 2556 ทั้งกำหนดสเปกของเครื่องและวิธีการจัดซื้อที่เปลี่ยนรูปแบบการจัดซื้อด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-ออกชัน ภายในประเทศออกเป็น 4 โซน
แต่กระบวนการต่างๆ ทั้งการยื่นทีโออาร์ เปิดประมูล ทดสอบคุณสมบัติการตกกระแทกของเครื่องแท็บเล็ตที่แต่ละบริษัทที่ยื่นใน 4 โซนมามาเริ่มทำภายหลังที่เปลี่ยน รมว.ศึกษาธิการ มาเป็น นายพงศ์เทพ ในครั้งแรกของการอี-ออกชัน สรุปการประมูลผ่านการเพียง 3 โซน คือ โซน 1 (ภาคกลางและภาคใต้) ป.1 จำนวน 431,105 เครื่อง และ โซน 2 (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ระดับ ป.1 จำนวน 373,637 เครื่อง บริษัท เซิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัดชนะการประมูลทั้ง 2 โซน และโซน 3 (ภาคกลางและภาคใต้) ม.1 จำนวน 426,683 เครื่อง บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ชนะการประมูล ยกเว้นในโซนที่ 4 (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ม.1 และครู จำนวน 402,889 เครื่องที่มีปัญหามีผู้แข่งขันน้อยจึงได้มีการเปิดประมูลอี-ออกชันใหม่ ภายหลังจนกระทั่งได้ บริษัท จัสมิน เทเลคอมซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการประมูล เตรียมก้าวไปสู่ขั้นตอนการทำสัญญา แต่ก็ต้องสะดุดเพราะข้อทักท้วงจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ให้ข้อสังเกตุว่าผลการอี-ออกชันการประมูลของโซน 3 ราคาที่ประมูลได้สูงกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อเทียบกับการประมูลในโซน 1, 2 และ 4 ขอให้มีการทบทวนและนำมาสู่การตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดย สพฐ.และมีมติเสนอบอร์ดบริหารแท็บเล็ต ในสมัย นายพงศ์เทพ เป็นประธานมีมติให้ยกเลิกการประมูลอี-ออกชัน โซน 3
จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลง รมว.ศึกษาธิการ ครั้งที่ 2 ของปีมาเป็น นายจาตุรนต์ ซึ่งได้เข้ามารับช่วงการบริหารงานต่อก็ยังคงยืนยันตามมติเดิมโดยให้ สพฐ.ประกาศยกเลิกประมูล ขณะที่ บ.สุพรีมฯ ผู้ชนะประมูลในโซน 3 ได้ยื่นอุทธรณ์คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) ของกรมบัญชีกลาง อย่างไรก็ตาม ราวเดือน ต.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมา กวพ.อ.มีความเห็นว่าไม่สามารถชี้ขาดได้เพราะเป็นการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงาน ไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุว่าด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายบอร์ดบริหารฯ ยังคงยึดมติเดิมยืนยันยกเลิกโซน 3 โดยอ้างคำวินิจฉัยจากคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ามีอำนาจในการยกเลิกได้ อีกหากดึงดันเดินหน้าไม่ทำอะไรก็ติดข้อทักท้วง สตง.ถอยหลังก็ติดปัญหาความเห็นจาก กวพ.อ.จึงสั่งให้ สพฐ.ส่งข้อมูลชี้แจงเหตุผลยกเลิกโซน 3 ไปยัง กวพ.อ.อีกครั้ง หวังให้ฟันธงชัดว่าควรยกเลิกตามมติบอร์ด หรือไม่ยกเลิกและให้จัดซื้อกับ บ.สุพรีมฯ ต่อ รวมถึงถาม สตง.ด้วยว่ามีปัญหาในเรื่องใดที่พบอีกเพื่อจะได้เร่งแก้ไขให้เสร็จสิ้น ซึ่งจวบจนสิ้นปีก็ยังไร้วี่แววจะได้รับคำตอบใดกลับมา
เช่นเดียวกัน แท็บเล็ตโซน 1, 2 และ 4 ที่ทำสัญญาจัดซื้อกับบริษัทที่ชนะการประมูลไปแล้วตั้งแต่ 28 ก.ย.2556 ที่ผ่านมาซึ่งตามเงื่อนไขจะต้องส่งแท็บเล็ตงวดแรกภายใน 35 วันนับจากวันทำสัญญา โดยกำหนดจัดส่งทั้งสิ้น 5 งวดๆ สุดท้ายให้ส่งได้ไม่เกิน 90 วันนับจากวันทำสัญญาเช่นกัน หากเกินกำหนดบริษัทจะต้องเสียค่าปรับวันละ 0.2 ของราคาประมูล แต่ก็เช่นเดิมจนถึงขณะนี้ยังไม่มีบริษัทใดจัดส่งแท็บเล็ต ขณะที่ สพฐ.ก็ปิดปากเงียบไม่ออกมาชี้แจงหรือบอกความคืบหน้าแต่อย่างใด
ขณะที่ปัญหาเก่ายังคาราคาซัง แต่เวลานี้ ศธ.ก็เริ่มเตรียมการสรุปผลการดำเนินการโครงการดังกล่าวทั้ง 2 ปีที่ผ่านมาถึงข้อดี-ข้อเสีย เพื่อหวังนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นในการจัดซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียนในปีการศึกษา 2557 แน่นอนว่ายังไม่มีรายงานสรุปปรากฏออกมาเช่นเคย แต่ช่วงเวลาหนึ่งได้การเสนอแนวคิดแจกคูปองเงินสดให้ผู้ปกครองนำไปซื้อแท็บเล็ตภายใต้สเปกที่กำหนดให้บุตรตนเอง หากอยากได้ดีกว่าที่กำหนดก็ต้องเพิ่มเงินส่วนต่างเอง โดยเชื่อว่าจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยเอื้อประโยชน์ต่อราชการ แน่นอนว่ากลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวาง และน่าจะเป็นแนวคิดที่ทำได้ยาก ส่วนข้อเสนอที่กำลังจะหยิบมาเสนอต่อบอร์ดบริหารแท็บเล็ตในศักราชใหม่เพื่อดำเนินการในปีที่ 3 มี 4 รูปแบบ ภายใต้เงื่อนไขว่าสเปกแท็บเล็ตต้องกำหนดร่วมกันด้วยคือ 1.ให้แต่ละหน่วยงานไปซื้อเอง 2.ให้แต่ละหน่วยงานไปซื้อเองแต่อาจรวมกันซื้อได้ เช่น กรมการศาสนาซื้อรวมกับ ร.ร.ตำรวจตระเวนชายแดน เป็นต้น 3.ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเททศและการสื่อสาร หรือ ไอซีทีไปจัดซื้อเหมือนในปีแรก (ปีการศึกษา 2555) และ 4. สพฐ.รับเป็นเจ้าภาพทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สพฐ.เห็นรูปแบบที่ 1 และ 2 น่าสนใจเพราะมีข้อดีคือจัดซื้อได้เร็วในบางหน่วยงานและสามารถซ่อมบำรุงในรายย่อยๆ ได้ง่ายกว่าและไม่ติดขัด ซึ่งมองคร่าว ๆ น่าจะดีเพราะดูตัวอย่างที่เห็นในเวลานี้ หาก สพฐ.อยากจะเลือกรูปแบบสุดท้าย ก็หวั่นใจและคาดว่าอาจจะเข้าอีหรอบเดิม
ลาขาดปีนี้แล้ว ไม่ว่าจะเลือกซื้อรูปแบบใดก็เป็นเรื่องในปีหน้า ที่แน่ๆ ปีนี้เกือบจะเข้าสู่ครึ่งเทอมของภาคเรียนที่ 2/2556 เด็กนักเรียนก็ยังไม่มีแท็บเล็ตมาเรียนตามที่ประกาศไว้ และอาจจะไม่มีใช้เรียน...จนจบปีการศึกษา!
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารจะเป็นคนจากพรรคเดียวกัน แต่ทว่า...แต่ละคนก็มักจะมอบนโยบายใหม่ หรือแม้จะสานต่อนโยบายเดิมๆ ภายใต้นโยบายรัฐบาลแต่ก็ปรับรูปแบบในสไตล์ของตน ส่งผลให้งานประจำก็ไม่ก้าวหน้า งานนโยบาย อย่างปฏิรูปการศึกษารอบ 2 การพัฒนาครู พัฒนาคุณผู้เรียน หรือกระทั่งนโยบายขับเคลื่อนเตรียมพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ก็ไม่เด่น กลายเป็นว่าเรื่องช่วงปี 2556 ที่ผ่านมามีแต่ข่าวฉาวที่สร้างชื่อเสีย...
ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดหนีไม่พ้นกรณี “การทุจริตการสอบครูผู้ช่วย ว12 กรณีพิเศษหรือเหตุจำเป็น” ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หากใครที่ติดตามมาแต่ต้นจะพบว่าข่าวชิ้นนี้เป็นมหากาพย์การทุจริตครูที่ถูกนำเสนอบนหน้าหนังสือพิมพ์และข่าวเด่นบนจอโทรทัศน์ ยาวนานและต่อเนื่องอยู่หลายเดือน และยังคงมีการนำเสนออยู่เป็นระยะในช่วงค่อนปีหลัง เริ่มแต่มีการเปิดข่าวพบพิรุธและสงสัยว่าจะมีการกระทำทุจริตเป็นขบวนการ สุดท้ายต้องยืมมือกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ไล่ขุดหาต้นตอและวิธีการในการโกงออกมาแฉ! นำมาสู่การล้มกระดานจัดสอบและควานหาตัวคนผิด ซึ่งพบพิรุธตั้งแต่กระบวนการจัดส่งข้อสอบ รูปแบบการโกง มีการนำผู้เชี่ยวชาญทางการวัดและประเมินผลมาช่วยวิเคราะห์ จนพบว่ามีกลุ่มที่น่าสงสัยว่าทุจริตสอบเพราะได้คะแนนสูงผิดปกติ 344 ราย ซึ่งจำนวนนี้บางรายได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยแล้วก็ต้องให้ผู้อำนวยการโรงเรียนให้ออกจากราชการ แต่ก็ยังไม่วายเกิดปัญหาตามมาเหตุบางรายอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมถูกให้ออกโดยไม่มีการสอบสวน ล่าสุดคือ นายจาตุรนต์ ในฐานประธานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ให้มีการชะลอโดยขอให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ไปทำความเข้าใจกับผู้บริหารโรงเรียนและวนไปเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตุว่าการดำเนินการลักษณะนี้อาจจะต้องการซื้อเวลาให้เรื่องยืดยาวจนคนลืมหรือไม่
ขณะที่ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตั้งแต่ระดับผู้บริหารไปจนถึงระดับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นำมาสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะ นายชินภัทร ภูมิรัตน อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่เวลานี้เกษียณอายุราชการแล้วโดน 2 เด้ง คดีแรกโดนคนเดียวฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของราชการอันเป็นเหตุให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรง มีการสอบปากคำพยานเรียบร้อยและคาดว่าจะสรุปผลในเดือนธ.ค.2556นี้ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ปรากฎ ขณะที่คดีที่ 2 นายชินภัทร ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงร่วมกับข้าราชการอีก 7 ราย ฐานกระทำผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ ซึ่งคดีนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนและคาดว่าจะสรุปผลได้ในเดือน ม.ค.2557 เพราะฉะนั้น เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นข้อสรุปในฐานความผิดทั้งที่ดำเนินการโดยส่วนราชการ หรือกระทั่งในทางคดีอาญาโดยดีเอสไอ เกี่ยวกับปมการทุจริตการสอบครูผู้ช่วยจึงยังไร้ข้อสรุปที่ชัดเจน!
อีกเรื่องสำคัญที่สะท้อนความล้มเหลวในการบริหารงานการศึกษา ผลาญงบประมาณแผ่นดินมูลค่ามหาศาลแต่ใช้อย่างไม่คุ้มค่า นั่นคือ โครงการ 1 คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน ประจำปี 2556 นโยบายขายฝันเพื่อเรียกคะแนนประชานิยมต่อเนื่องในปีที่ 2 ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่ปีแรกของโครงการแจกระดับ ป.1 มาแล้วกว่า 8 แสนเครื่องในปีการศึกษา 2555 มาในปีการศึกษา 2556 ได้เพิ่มเป้าหมายแจก ป.1 และ ม.1 รวมจำนวนกว่า 1.6 ล้านเครื่อง วงเงิน 4,611 ล้านบาท โดยหากการดำเนินการโครงการดังกล่าวเป็นไปตามระบบและไม่เกิดปัญหาติดขัด แน่นอนว่าเวลานี้นักเรียน ป.1 และ ม.1 ทุกคนจะมีแท็บเล็ตใช้เรียนมาแล้วในภาคเรียนที่ 1/2556 ที่ผ่านมา แต่ความจริงที่สุด ณ เวลานี้ล่วงเลยเวลาสู่ภาคเรียนที่ 2 ในปีการศึกษาเดียวกัน กลับไม่ปรากฏเครื่องแท็บเล็ตให้เด็กใช้เรียน!
คาดว่าปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากขาดความต่อเนื่องของการบริหารงานระดับนโยบาย ที่มีการเปลี่ยนแปลงหนำซ้ำการวางแผนก็เป็นไปอย่างล่าช้า และอาจจะเป็นความผิดพลาดที่สุด ที่ปีที่ 2 นี้ให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดย สพฐ.เป็นตัวแทนของหน่วยงานที่มาสถานศึกษาในสังกัดรวม 8 หน่วยงานมาเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อแท็บเล็ตในครั้งนี้เอง โดยเฉพาะหากพิจารณาย้อนไปกระบวนการต่างๆ เตรียมพร้อมเริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.2555 ซึ่งเริ่มต้นปีงบประมาณ 2556 เมื่อครั้งนายสุชาติ ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการ ศธ.ได้เริ่มเตรียมการสำหรับจัดซื้อแท็บเล็ต ป.1, ม.1 และครู ของปีการศึกษา 2556 ทั้งกำหนดสเปกของเครื่องและวิธีการจัดซื้อที่เปลี่ยนรูปแบบการจัดซื้อด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-ออกชัน ภายในประเทศออกเป็น 4 โซน
แต่กระบวนการต่างๆ ทั้งการยื่นทีโออาร์ เปิดประมูล ทดสอบคุณสมบัติการตกกระแทกของเครื่องแท็บเล็ตที่แต่ละบริษัทที่ยื่นใน 4 โซนมามาเริ่มทำภายหลังที่เปลี่ยน รมว.ศึกษาธิการ มาเป็น นายพงศ์เทพ ในครั้งแรกของการอี-ออกชัน สรุปการประมูลผ่านการเพียง 3 โซน คือ โซน 1 (ภาคกลางและภาคใต้) ป.1 จำนวน 431,105 เครื่อง และ โซน 2 (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ระดับ ป.1 จำนวน 373,637 เครื่อง บริษัท เซิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัดชนะการประมูลทั้ง 2 โซน และโซน 3 (ภาคกลางและภาคใต้) ม.1 จำนวน 426,683 เครื่อง บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ชนะการประมูล ยกเว้นในโซนที่ 4 (ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ม.1 และครู จำนวน 402,889 เครื่องที่มีปัญหามีผู้แข่งขันน้อยจึงได้มีการเปิดประมูลอี-ออกชันใหม่ ภายหลังจนกระทั่งได้ บริษัท จัสมิน เทเลคอมซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการประมูล เตรียมก้าวไปสู่ขั้นตอนการทำสัญญา แต่ก็ต้องสะดุดเพราะข้อทักท้วงจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ให้ข้อสังเกตุว่าผลการอี-ออกชันการประมูลของโซน 3 ราคาที่ประมูลได้สูงกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อเทียบกับการประมูลในโซน 1, 2 และ 4 ขอให้มีการทบทวนและนำมาสู่การตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดย สพฐ.และมีมติเสนอบอร์ดบริหารแท็บเล็ต ในสมัย นายพงศ์เทพ เป็นประธานมีมติให้ยกเลิกการประมูลอี-ออกชัน โซน 3
จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลง รมว.ศึกษาธิการ ครั้งที่ 2 ของปีมาเป็น นายจาตุรนต์ ซึ่งได้เข้ามารับช่วงการบริหารงานต่อก็ยังคงยืนยันตามมติเดิมโดยให้ สพฐ.ประกาศยกเลิกประมูล ขณะที่ บ.สุพรีมฯ ผู้ชนะประมูลในโซน 3 ได้ยื่นอุทธรณ์คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) ของกรมบัญชีกลาง อย่างไรก็ตาม ราวเดือน ต.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมา กวพ.อ.มีความเห็นว่าไม่สามารถชี้ขาดได้เพราะเป็นการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงาน ไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุว่าด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายบอร์ดบริหารฯ ยังคงยึดมติเดิมยืนยันยกเลิกโซน 3 โดยอ้างคำวินิจฉัยจากคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ามีอำนาจในการยกเลิกได้ อีกหากดึงดันเดินหน้าไม่ทำอะไรก็ติดข้อทักท้วง สตง.ถอยหลังก็ติดปัญหาความเห็นจาก กวพ.อ.จึงสั่งให้ สพฐ.ส่งข้อมูลชี้แจงเหตุผลยกเลิกโซน 3 ไปยัง กวพ.อ.อีกครั้ง หวังให้ฟันธงชัดว่าควรยกเลิกตามมติบอร์ด หรือไม่ยกเลิกและให้จัดซื้อกับ บ.สุพรีมฯ ต่อ รวมถึงถาม สตง.ด้วยว่ามีปัญหาในเรื่องใดที่พบอีกเพื่อจะได้เร่งแก้ไขให้เสร็จสิ้น ซึ่งจวบจนสิ้นปีก็ยังไร้วี่แววจะได้รับคำตอบใดกลับมา
เช่นเดียวกัน แท็บเล็ตโซน 1, 2 และ 4 ที่ทำสัญญาจัดซื้อกับบริษัทที่ชนะการประมูลไปแล้วตั้งแต่ 28 ก.ย.2556 ที่ผ่านมาซึ่งตามเงื่อนไขจะต้องส่งแท็บเล็ตงวดแรกภายใน 35 วันนับจากวันทำสัญญา โดยกำหนดจัดส่งทั้งสิ้น 5 งวดๆ สุดท้ายให้ส่งได้ไม่เกิน 90 วันนับจากวันทำสัญญาเช่นกัน หากเกินกำหนดบริษัทจะต้องเสียค่าปรับวันละ 0.2 ของราคาประมูล แต่ก็เช่นเดิมจนถึงขณะนี้ยังไม่มีบริษัทใดจัดส่งแท็บเล็ต ขณะที่ สพฐ.ก็ปิดปากเงียบไม่ออกมาชี้แจงหรือบอกความคืบหน้าแต่อย่างใด
ขณะที่ปัญหาเก่ายังคาราคาซัง แต่เวลานี้ ศธ.ก็เริ่มเตรียมการสรุปผลการดำเนินการโครงการดังกล่าวทั้ง 2 ปีที่ผ่านมาถึงข้อดี-ข้อเสีย เพื่อหวังนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นในการจัดซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียนในปีการศึกษา 2557 แน่นอนว่ายังไม่มีรายงานสรุปปรากฏออกมาเช่นเคย แต่ช่วงเวลาหนึ่งได้การเสนอแนวคิดแจกคูปองเงินสดให้ผู้ปกครองนำไปซื้อแท็บเล็ตภายใต้สเปกที่กำหนดให้บุตรตนเอง หากอยากได้ดีกว่าที่กำหนดก็ต้องเพิ่มเงินส่วนต่างเอง โดยเชื่อว่าจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยเอื้อประโยชน์ต่อราชการ แน่นอนว่ากลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวาง และน่าจะเป็นแนวคิดที่ทำได้ยาก ส่วนข้อเสนอที่กำลังจะหยิบมาเสนอต่อบอร์ดบริหารแท็บเล็ตในศักราชใหม่เพื่อดำเนินการในปีที่ 3 มี 4 รูปแบบ ภายใต้เงื่อนไขว่าสเปกแท็บเล็ตต้องกำหนดร่วมกันด้วยคือ 1.ให้แต่ละหน่วยงานไปซื้อเอง 2.ให้แต่ละหน่วยงานไปซื้อเองแต่อาจรวมกันซื้อได้ เช่น กรมการศาสนาซื้อรวมกับ ร.ร.ตำรวจตระเวนชายแดน เป็นต้น 3.ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเททศและการสื่อสาร หรือ ไอซีทีไปจัดซื้อเหมือนในปีแรก (ปีการศึกษา 2555) และ 4. สพฐ.รับเป็นเจ้าภาพทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สพฐ.เห็นรูปแบบที่ 1 และ 2 น่าสนใจเพราะมีข้อดีคือจัดซื้อได้เร็วในบางหน่วยงานและสามารถซ่อมบำรุงในรายย่อยๆ ได้ง่ายกว่าและไม่ติดขัด ซึ่งมองคร่าว ๆ น่าจะดีเพราะดูตัวอย่างที่เห็นในเวลานี้ หาก สพฐ.อยากจะเลือกรูปแบบสุดท้าย ก็หวั่นใจและคาดว่าอาจจะเข้าอีหรอบเดิม
ลาขาดปีนี้แล้ว ไม่ว่าจะเลือกซื้อรูปแบบใดก็เป็นเรื่องในปีหน้า ที่แน่ๆ ปีนี้เกือบจะเข้าสู่ครึ่งเทอมของภาคเรียนที่ 2/2556 เด็กนักเรียนก็ยังไม่มีแท็บเล็ตมาเรียนตามที่ประกาศไว้ และอาจจะไม่มีใช้เรียน...จนจบปีการศึกษา!
ขอบคุณ : http://www.manager.co.th
Casino Review by Dr. Gary Harman - Dr. Gary Harman
ตอบลบCasino reviews 수원 출장마사지 by Dr. Gary Harman in the 논산 출장안마 community. Dr. Gary Harman 부천 출장안마 is the Director of 상주 출장마사지 Hospitality 광주광역 출장마사지 in North Carolina.