วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

บางประเทศที่ผู้หญิงน่าสงสารที่สุดในโลก


ชาด: ประเทศในแอฟริกากลาง เต็มด้วยทะเลทราย ผู้หญิงในประเทศนี้แทบไม่มีสิทธิ์ในการออกความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น และเด็กผู้หญิงส่วนมากต้องแต่งงานตั้งแต่อายุ 11-12 ปี

อัฟกานิสถาน: 90% ของผู้หญิงไม่รู้หนังสือ และ 85% ของผู้หญิงคลอดลูกในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่ในโรงพยาบาล ทำให้เด็กที่คลอดออกมามีสุขภาพแข็งแรงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

เยเมน: ประเทศหนึ่งในเอเชียแถบคาบสมุทรอาหรับ ความลำบากของผู้หญิงเยเมนมักเกี่ยวข้องกับการลงมือทำร้ายร่างกายภรรยาโดยสามี เพราะกฏหมายเยเมนไม่ถือว่า การที่คู่ครองฝ่ายชายลงมือทำร้ายร่างกายฝ่ายหญิงเป็นเรื่องผิดกฏหมายหรือสามารถเอาเรื่องได้ รวมถึงสามีสามารถข่มขืนภรรยาได้โดยภรรยาไม่มีสิทธิ์แจ้งตำรวจ และภรรยาทุกคนต้องอยู่กับสามีเดิมไปตลอดชีวิต

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก: ก่อนอื่น หากพูดถึง "คองโก" นั้น อาจหมายความได้ถึง 2 ประเทศคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (Democratic Republic of Congo) และ สาธารณรัฐคองโก (Republic of Congo) ... ผู้หญิงในประเทศนี้ต้องเสี่ยงอันตรายในการถูกลากไปข่มขืน ตามสถิติแล้ว ประเทศนี้มีประชากร 70 ล้านคน และในแต่ละวันจะมีผู้หญิงถูกข่มขืนวันละกว่า 1,100 คน

มาลี: ประเทศในแอฟริกาตะวันตก สิ่งที่ผู้หญิงส่วนมากในประเทศนี้ต้องเจอคือการถูกขริบอวัยวะเพศอย่างโหดร้ายโดยไม่มีการใช้ยาชา ทำให้หลายคนเสียเลือดจนเสียชีวิตหรือมีโรคอื่นๆ ตามมา เพราะมีความเชื่อว่า หากผู้หญิงที่ไม่ได้ขริบอวัยวะเพศเกิดมีอารมณ์ทางเพศขึ้นมาก็สามารถข่มขืนผู้ชายได้

หมู่เกาะโซโลมอน: ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งแปซิฟิกเพราะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ยังไงก็ตาม ผู้หญิงในหมู่เกาะนี้ก็ถือว่าเป็นช้างเท้าหลังของผู้ชาย ถึงจะไม่มีปัญหาเรื่องการทำร้ายร่างกายอย่างโหดร้าย แต่ผู้หญิงที่นี่ไม่สามารถเข้าไปเป็นนักการเมืองในสภาได้

ไนเจอร์: เป็นอีกประเทศหนึ่งในแอฟริกาตะวันตก ผู้หญิงในประเทศนี้ประสบปัญหาเช่นเดียวกับผู้หญิงในประเทศชาดคือ เด็กผู้หญิงมักถูกบังคับให้แต่งงานตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น ถึงจะมีกฏหมายบังคับออกมาว่าไม่อนุญาตให้เด็กเล็กแต่งงาน แต่กลับไม่มีใครเกรงกลัวกฏหมายนี้ หรือมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง

ปากีสถาน: สามีสามารถข่มขืนภรรยาได้โดยภรรยาไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องเพราะถือไม่ใช่เรื่องผิดกฏหมาย ที่ร้ายแรงที่สุดคือ ในแต่ละปี มีคนในครอบครัวเดียวกันฆ่ากันตายมากกว่า 800 คน โดยสามารถฆ่าผู้หญิงในบ้านเพื่อรักษาเกียรติของครอบครัวได้ นอกจากนี้อัตราการทำร้ายร่างกายผู้หญิงของปากีสถานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 20% ในทุกๆ ปี

เอธิโอเปีย: การแต่งงานตั้งแต่วัยเด็กในภาวะที่ไม่พร้อม ทำให้ผู้หญิงเอธิโอเปียจำนวนมากต้องตัดสินใจทำแท้ง แต่ด้วยสภาพประเทศที่มีภาวะอดอยากและมีระบบสาธารณสุขย่ำแย่ ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากเสียชีวิตจากการทำแท้ง หรือหากไม่เสียชีวิต ก็มักติดเชื้อและเกิดโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาภายหลัง


ประเทศที่ผู้หญิงน่าสงสารมากยังมีอีกมากมายหลายประเทศ ซาอุดิอาระบียถูกถือว่าเป็นประเทศที่ผู้หญิงเป็นพลเมืองชั้นสองอย่างสมบูรณ์

และล่าสุดอินเดียถูกถือว่าเป็นประเทศที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้หญิง ด้วยเรื่องการข่มขืนหมู่ในที่สาธารณะบ่อยครั้งโดยไร้คนช่วยเหลือ
พิธีสตี
ต้นปี พ.ศ.2498 หนังสือพิมพ์ฝรั่งลงข่าวใหญ่ เกิดขึ้นในอินเดีย เป็นข่าวภรรยานายทหารประจำราชสำนักมหาราชาโยธปุระ โจนเข้ากองไฟบนเชิงตะกอนเผาศพสามี ข่าวนี้เป็นที่หวาดเสียวของผู้คนสมัยใหม่มาก
เมืองโยธปุระ (Jodhpur) www.lonelyplanet.com

พิธีสตีเกิดขึ้นใน อินเดีย เมื่อ พ.ศ.1300 แล้วก็ทำกันต่อๆมากว่าพันปี จนเมื่ออังกฤษปกครองอินเดีย ทนดูไม่ไหว ก็ประกาศห้าม พิธีสตีทำท่าจะหายไปในระยะ 50 ปี

โยธปุระ เมืองที่ปรากฏในข่าว เป็นนครหนึ่งในแคว้นราชปุตนะ แคว้นนี้เกิดราว พ.ศ.1000 ในยุคที่อินเดียขาดกษัตริย์ หลังจากสมัยพระเจ้าวิกรมาทิตย์ ผู้ครองอุชเชนี ในแคว้นมาลวะแล้วราชวงศ์คุปต์ก็ร่วงโรยไป แผ่นดินเป็นจลาจล จึงเกิดมีพวกเจ้าน้อยๆ เรียกว่าราชปุตตะ (ราชบุตร) แบ่งกันครองแคว้นมาลวะ และแคว้นใกล้เคียง

ราชบุตรตั้งบ้านเล็กเมืองน้อย เป็นอิสระแก่กัน เช่น นครไชยปุระ นครอุทัยปุระ นครไชยยาลเมระ นครโยธปุระ และอื่นๆ นครเหล่านี้รวมกันเป็นแคว้นใหญ่ เรียกว่าราชปุตนะ มีอาณาเขตเทียบปัจจุบัน ทิศเหนือจดแคว้นปัญจาบ ทิศตะวันตกจดปากีสถาน ทิศใต้จดเขาวินธัย ทิศตะวันออกจดมณฑลภาคกลางของอินเดีย

ตำนานปรัมปราว่า ต้นวงศ์ราชปุตนะเกิดจากอัคนีกูณฑ์ คือกองไฟบนยอดเขาอาพุ ต้นวงศ์มีสี่องค์ ทุกองค์เกี่ยวดองเป็นเครือญาติ แต่งงานกัน เองแต่ในวงศ์ แยกสายสาขาออกไปเป็น 36 สกุล

พวกราชปุตนะเป็นฮินดูผสมตาด บุกเข้าอินเดียแต่โบราณ มหาราชที่ครองแคว้นใหญ่ๆ มีเชื้อสายกษัตริย์ในรามเกียรติ์ และพระมหาภารตะ มหาราชโยธปุระสืบสายจากพระราม ผู้ครองอโยธยา มหาราชาไชยยาลเมระสืบสายมาจากพระกฤษณะในมหาภารตะ และมหาราชาไชยปุระสืบสายมาจากพระกุศ โอรสพระราม

พวกราชปุตนะเป็น นักรบกล้าหาญเกรียงไกร ยุคนี้ถือกันว่าเป็นยุคอัศวินรุ่งโรจน์ เหมือนพวกไนท์ในยุโรปสมัยกลาง พวกซามูไรในญี่ปุ่น ชายทุกคนได้ชื่อว่าชายชาตรี หญิงทุกคนได้ชื่อว่าวีรสตรี

เมื่อครั้ง พวกมุสลิมโจมตีเมืองจีโตร์ (นครไชยปุระ) สุลต่านอาลาดิน ให้ส่งตัวพระราชธิดา พวกราชปุตนะไม่ยอม ทั้งชายและหญิงช่วยกันต่อสู้ป้องกันเมืองเต็มที่ ในที่สุดเมืองก็แตก สุลต่านยาตราทัพเข้าเหยียบเมือง ไม่พบสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่เลย ชายต่อสู้จนตัวตายทุกคน ผู้หญิงกระโจนเข้ากองไฟตายตามผู้ชายหมดทุกคน

โยธ ปุระนคร สร้างเมื่อ พ.ศ.2002 เป็นวังป้อม ใหญ่โตอยู่กลางเนินกลางเมือง มีพระราชวังใหญ่อยู่สี่แห่ง เวลาวางรากว่ากันว่ามีการทำอาถรรพณ์ เอาคนทั้งเป็นฝังลงไป กำแพงเมืองมีโขลนทวาร หรือประตูซุ้มสูงเจ็ดประตู ประตูหนึ่งที่ควรเรียกว่าประตูผี  ตอนล่างๆ

มีรอยเป็นรูปมือน้อยๆเป็นสีแดงประทับติดอยู่ทั่วไป


เจ้าของมือน้อยๆเหล่านี้คือเจ้าหญิงโยธปุระ ผู้ผ่านออกประตูนี้ไปเลย ไม่เคยกลับเข้าวังอีก เพราะพระนางไปโจนเข้ากองไฟบนเชิงตะกอนเผาศพพระสวามี ตามประเพณีสตี ที่ยึดทำต่อเนื่องกันมายาวนาน

กาญจนาคพันธุ์เขียนไว้ ในคอคิดขอเขียนชุดที่ 3 ว่า พิธีสตีเกิดขึ้นจากน้ำใจหญิงราชปุตนะสมัยรุ่งเรืองราว พ.ศ.1300 ลงมา แผ่ออกมาชวา มลายู และอินโดจีน พระเจ้าหริวรมัน กษัตริย์จาม สวรรคต พ.ศ.1624 มีพระสนมโจนเข้ากองไฟ 14 คน

เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ราชาเกาะบาหลีสวรรคต สนมโจนเข้ากองไฟ 72 คน

เหตุใด...หญิงจึงกล้าหาญชาญชัย กล้าสละชีวิตตามสามีได้ น.ม.ส.เขียนไว้ในนิทานเวตาล ตอนหนึ่งว่า

ตราบ ใดหญิงยังขลาด ใจบ่อาจคำนึงเกรง กริ่งกลัวเผาตัวเอง พร้อมกะศพผัวเพราะมัวมน ตราบนั้นแม้นเกิดใหม่ คงจะไม่ใช่มนุษย์ชน จักมีสี่ตีนตน ย่อมจะต่ำต้อยมิน้อยเลย

กลอนบทนี้ชี้ว่าเหตุที่หญิงกล้าโจนเข้ากองไฟ... เพราะกลัวว่าจะต้องเกิดใหม่เป็นสัตว์เดรัจฉานสี่ตีน... นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น